“BTC vs ETH” ใครคือผู้ชนะ
หากพูดถึงสกุลเงินคริปโทฯ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักบิตคอยน์ เหรียญที่ครองอันดับหนึ่งของตลาดมาอย่างยาวนาน ด้วยมูลค่าตลาดถึง 14 ล้านล้านบาท ด้วยคุณสมบัติการเป็นเงิน และความสามารถในการเก็บรักษามูลค่า บิตคอยน์จึงถูกเรียกว่าเป็น “Sound Money” หนึ่งเดียวของสกุลเงินดิจิทัลมาอย่างยาวนาน
แต่จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง จนทำให้คนกลุ่มหนึ่งมองว่านี้คือสิ่งที่อาจทำให้บัลลังก์ของเจ้าตลาดอย่างบิตคอยน์สั่นคลอนได้เลย
ในวันที่ 15 กันยายน 2022 Ethereum blockchain ได้มีการเปลี่ยนระบบฉันทามติจาก Proof-of-Work กลายเป็น Proof-of-Stake เหตุการณ์นี้มีชื่อว่า “The Merge” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Ethereum ให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เนื่องด้วยการที่มีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง ลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบ Proof-of-Work และ การผลิตเหรียญ ETH เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้มีคนที่เชื่อว่า ETH นั้นจะมีมูลค่าตลาดที่สูงกว่าบิตคอยน์ได้ และตรงนี้เองเป็นตัวจุดชนวนการถกเถียงอย่างร้อนแรงในวงการคริปโทฯ ว่า “BTC vs ETH ใครคือผู้ชนะ?
ในช่วงกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ที่การถกเถียงในประเด็นนี้ได้กระจายไปในวงกว้าง ทั้งคนทั่วไปรวมถึงบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆ ได้ออกมาแสดงความเห็น แนวคิด และเหตุผลต่างๆ ต่อประเด็นนี้ จนถึงได้มีการกล่าวหาในทางที่รุนแรงว่า Ethereum เป็น Scam หรือบิตคอยน์เป็นศาสนาเลยที่เดียว แต่ประเด็นที่ได้มีการพูดถึง และถูกนำมาวิเคราะห์กันในเชิงลึกนั้น
คงหนีไม่พ้น คำว่า “Ultrasound money” ที่จะบอกว่า Ethereum จะกลายเป็นเงินที่รักษามูลค่าได้ดีกว่าบิตคอยน์ รวมถึงประเด็นการเปลี่ยนเป็น Proof-of-Stake ของ Ethereum ที่ขัดกับหลักการ และความเชื่อของ Bitcoin Maxi โดยสิ้นเชิง
สำหรับประเด็นแรก คำว่า “Ultrasound money” เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกลุ่ม ETH Maxi ที่นำมาใช้ล้อเลียนกลุ่ม BTC Maxi ที่เรียกบิตคอยน์ว่า “Sound Money” เนื่องจากบิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะเป็นเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ บิตคอยน์ไม่ถูกควบคุมโดยกลุ่มคนหรือองค์กรใดๆ และจำนวนของบิตคอยน์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงเรื่อยๆ จนครบ 21 ล้านเหรียญ และจะไม่มีการเพิ่มขึ้นอีก ทำให้บิตคอยน์มี
คุณสมบัติของเงินที่สามารถแลกเปลี่ยนหรือใช้งานได้แบบไร้ศูนย์กลาง และยังสามารถคงมูลค่าของตัวมันได้ ซึ่งมันมีคุณบัติที่เปรียบเสมือนทองคำได้เลย ในขณะที่ Ethereum นั้นเป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานในแพลตฟอร์มบน Ethereum และยังใช้เป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้งานต้องจ่ายในทุกๆ การทำธุรกรรม แต่อีกข้อแตกต่างที่สำคัญของทั้งสองเหรียญคือ ETH ไม่มีการจำกัดจำนวนเหรียญทั้งหมดในระบบและจะมีการสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ แต่หลังจาก “The Merge” จะมีการผลิต ETH ในอัตราที่น้อยลง และจากข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเรื่องการเผาเหรียญของ Ethereum จะทำให้มีการเผาเหรียญ ETH จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมออกไปจากระบบทุกๆ ครั้งที่มีการทำธุรกรรม ทำให้ถ้ามีการใช้งานมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งอัตราการเผาเหรียญออกจากระบบจะมากกว่าอัตราการสร้างเหรียญใหม่ ทำให้จำนวน ETH ทั้งหมดจะค่อยๆ ลดลงในระยะยาว จึงมีคนที่เชื่อว่าด้วยหลักการนี้ ETH จะมีความสามารถที่จะรักษามูลค่าได้ดีกว่าบิตคอยน์ และตั้งชื่อมันว่าเป็น “Ultrasound Money”
ส่วนอีกประเด็นคือ การเปลี่ยนเป็น Proof-of-Stake ของ Ethereum ที่ถูกพูดถึงอย่างมากโดยกลุ่ม BTC maxi เนื่องจากบิตคอยน์ใช้งาน และเชื่อมั่นในหลักการของ Proof-of-Work ว่าเป็นหลักการที่มีความปลอดภัยสูงกว่า และเอื้อต่อความเป็น Decentralized มากกว่า พูดในอีกแง่คือ การที่จะเกิดบิตคอยน์ใหม่ขึ้นมา นักขุดจะต้องนำพลังงานไฟฟ้าใส่เข้าไปใน hardware และใช้เวลาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้สำเร็จถึงจะมีบิตคอยน์ใหม่เข้าไปในระบบ และบางคนมองว่านี่เป็นการสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้กับบิตคอยน์อีกด้วย BTC Maxi จึงมองว่าการเปลี่ยนผ่านของ Ethereum
ในครั้งนี้ทำให้ ETH ไม่มีอะไรมาสร้างมูลค่าให้กับเหรียญเหมือนบิตคอยน์ และมีความปลอดภัยที่ลดลง คนที่มีเงินมาสามารถเอาเปรียบคนที่เงินน้อยได้ และยังลดความเป็น Decentralized ลงอีกด้วย ซึ่งก็มีส่วนที่ถูกต้องตาม Impossible trinity ของโลกการเงินที่ว่า Scalibility, Decentralization และ Security จะไม่สามารถเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ทั้งหมด Ethereum ต้องการที่จะต่อยอดความเป็นไปได้ในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นเพื่อที่จะ Scale ให้มากขึ้นทำให้ต้องลดอะไรบางอย่างให้น้อยลง แต่สำหรับ Ethereum แล้วการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะเป็นการต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่ต้องยึดติดกับกฏเกณฑ์ของฟิสิกส์หรือกฎของโลกปัจจุบันเลย ทั้งนักพัฒนาและคอมมูนิตี้ของ Ethereum จึงยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพื่ออนาคตของโลกการเงินดิจิทัล
สุดท้ายจึงมาถึงคำถามสำคัญว่า “BTC vs ETH” ใครจะเป็นผู้ชนะ? ถ้าเรามองคำถามนี้ในแง่ของราคาเหรียญหรือมูลค่าตามตลาดคงจะไม่มีคำตอบที่แน่นอนเนื่องจากไม่มีใครรู้อนาคต และการทำนายราคาของเหรียญนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เหรียญทั้งคู่ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ETH ต้องการจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกคริปโทฯ ที่มีแพลตฟอร์มมากมายมาสร้าง และทำงานอยู่บน Ethereum
ในขณะที่บิตคอยน์นั้นต้องการที่จะเป็นเงินที่ดี ไร้ศูนย์กลาง และสามารถรักษามูลค่าตลาดได้ ฉะนั้นแล้วถ้าพูดถึงแค่มูลค่าตามตลาด ETH ที่สามารถถูกนำไปต่อยอด และใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงมีโอกาสที่มูลค่าตลาดจะแซง บิตคอยน์ได้ แต่ในแง่ของการเป็นเงินที่ดีที่ไร้ศูนย์กลางแล้วนั้น ETH คงไม่สามารถชนะบิตคอยน์ในสิ่งที่มันถูกออกแบบมาให้เป็นได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์