วิธีเก็บคริปโทเคอร์เรนซี ฉบับ' บิทแคสต์' ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ ในยุค Bull Run
ในภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Run) ของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ราคาเหรียญมักพุ่งสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนทั้งหน้าเก่า และหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี มากขึ้น ในขณะที่ราคาคริปโทเคอร์เรนซี ก็ดึงดูดเหล่ามิจฉาชีพให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากเรื่องศึกษาข้อมูล เข้าใจความเสี่ยง เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และลงทุนอย่างมีสติแล้ว การเก็บรักษาสินทรัพย์ และความตระหนักในการใช้งานก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิทแคสต์ จํากัด กล่าวว่า การเก็บรักษาคริปโทเคอร์เรนซี มักมีปัญหาหลายประการ และเป็นอุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาคริปโทเคอร์เรนซี เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายได้ ค่อนข้างช้า แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ปัญหาด้านความตระหนัก
ปัญหานี้เป็นปัญหาหลักของพัฒนาการในการใช้งานคริปโทเคอร์เรนซี เลยทีเดียว เนื่องจากคนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการพึ่งพาบริการ จากผู้ให้บริการในชีวิตจริง หากเกิดความเสียหายมีคนพร้อมช่วยเหลือ และสามารถกู้คือหรือย้อนธุรกรรมกลับได้
แต่วิธีคิดนี้ใช้กับบริการทางด้านการเงินออนไลน์ในยุคนี้ไม่ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นธุรกรรมบนโลกคริปโทเคอร์เรนซี การย้อนธุรกรรมเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากถูกโจรกรรมแล้วจะไม่สามารถดึงเงินกลับได้ ความตระหนักจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ถูก และมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดอันหนึ่ง
2. ปัญหาด้านความรู้คริปโทเคอร์เรนซี
โดยพื้นฐานคริปโทเคอร์เรนซี อาจฟังดูยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ผู้ใช้ควรรู้ มีแค่เรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี คนใช้ทั่วๆ ไปรู้แต่ว่าเราครอบครองเหรียญ เห็นเหรียญแสดงในกระเป๋า แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ การครอบครองนั้นพิสูจน์ด้วยอะไร
ถ้าเราเข้าใจเรื่องการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องปกป้องไม่ใช่สินทรัพย์ แต่เป็นการปกป้องสิ่งที่เราบอกระบบว่าเราเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า Private Key นั่นเอง
เพราะ คริปโทฯ นั้นปลอดภัยอยู่แล้วในระบบตามกฏของมันซึ่งเก็บอยู่บน Blockchain ที่เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไป Hack ออกมาได้ ดังนั้นจุดที่ Hacker จะโจมตี หรือพยายามโจรกรรมก็คือ Private Key เพราะถ้าได้ Private Key ไป Hacker จะพิสูจน์ต่อระบบได้ว่า เขาเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ ทำอะไรกับมันก็ได้
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้ยังไม่เข้าใจความต่างของการเก็บรักษาสินทรัพย์เองว่าเราสามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพา Exchange ซึ่งวัตถุประสงค์ของการที่ Exchange เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตลาดสำหรับแลกเปลี่ยน Bitcoin และ Digital Asset อื่นๆ แต่คนส่วนใหญ่ มองเป็นที่สำหรับเก็บ Bitcoin และ Digital Asset อื่นเพียงเพราะผู้ให้บริการมีทักษะมากกว่าผู้ใช้ทั่วๆ ไป ทั้งที่จริงแล้วต้นทุนในการเก็บเองรวมถึงความปลอดภัยเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูง หากเราเก็บเองเป็นตามกระบวนการ
3. ปัญหาทางด้านเทคนิค
เนื่องจากเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด คนทั่วๆ ไปตามการเติบโตนี้ไม่ทัน แม้แต่คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมหากไม่ได้ตามข่าวเพียงแค่เดือนเดียวหลายๆ อย่าง ก็ปรับเปลี่ยนไปหมดแล้ว เทคโนโลยีหรือเทคนิคการเขียนโปรแกรมถูกใส่เข้าในเพื่อปกป้องความมั่งคั่งทางดิจิทัลของคุณอยู่ตลอดเวลา ในทางกลับกัน Hacker เองก็เรียนรู้ที่จะเจาะระบบ หาช่องโหว่ จุดอ่อนของผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้เอง ต้องมีการเรียนรู้ ปรับตัว หมั่นอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
หากผู้ใช้เข้าใจองค์ประกอบหลักทั้งสามข้อนี้ ผมเชื่อว่าการเก็บรักษาสินทรัพย์จะเป็นเรื่องที่ง่าย และห่างไกลจาก Hacker แน่นอน
ในปีที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการโจรกรรมทางไซเบอร์โดย เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ นั้นมีมูลค่าสูงถึง 24,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปีนี้ทุกคนมองว่ามี ความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในช่วงตลาดกระทิง
ปัจจัยหลักๆ ก็จะมาจากความต้องการของตลาดที่จะครอบครอง Bitcoin ผ่าน Spot Bitcoin ETF ประจวบกับการที่ปีนี้เป็นปีที่ Bitcoin จะมีการลดปริมาณการผลิต ลงครึ่งหนึ่งที่เรียกว่า Halving ที่จะเกิดขึ้นราวๆ ทุก 4 ปี แล้วถ้าเราแอบไปส่องดูปริมาณ Bitcoin ที่สำรองใน Exchange รวมกัน อยู่ในระดับที่ต่ำ มีการซื้อแล้วโอนออกไปเก็บทั้งนักลงทุนสถาบัน และรายย่อยจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าลองจินตนาการ ถึงความต้องการตลาดที่ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ มาเจอกับปริมาณของที่มีอยู่อย่างจำกัดบน Exchange ซึ่ง
ปัจจุบันมีการผลิตเติม Bitcoin เข้ามาประมาณ 900 Bitcoin ต่อวัน จะเหลือ 450 Bitcoin ต่อวัน นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่ Spot Ethereum ETF ที่ทุกคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันมูลค่าในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้อีกมาก แค่ไหน ซึ่งในปีนี้กรอบราคากว้างๆ ถ้าดูตาม Linear regression fit มีความเป็นไปได้ที่จะถึง 100,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Resistance อยู่ที่ราวๆ 380,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Support อยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาของเหรียญในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีนั้นย่อมทำให้ล่อตาล่อใจเหล่า Hacker เพราะต้นทุนในการโจรกรรมเท่าเดิมแต่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ผนวกกับคนหน้าใหม่ที่สนใจจะเข้ามาในตลาด ก็มากขึ้นด้วยทำให้ตัวเลขความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามราคาของ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ
Bitcast เข้าใจความต้องการของตลาด และเล็งเห็นว่าการเติบโตของตลาดจะยั่งยืนได้ผู้ใช้งานต้องมีความรู้ ความตระหนัก และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังนั้นเราจึงได้คัดสรร Hardware Wallet Brand OneKey เข้ามาจัดจำหน่าย และ Bitcast ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และยังมุ่งมั่นให้ความรู้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีการจัด Workshop และ Meetup เป็นประจำ เพราะผมคิดว่าความรู้ไม่ควรถูกจำกัด ดังนั้นคนที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเราได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
และภายในปีนี้ทาง Bitcast จะมีบริการใหม่อย่างการรับจ้างกู้กระเป๋าคริปโทเคอร์เรนซีสำหรับผู้ที่มีปัญหาใน การกู้คืนสินทรัพย์ที่ติดอยู่ในกระเป๋าแล้วไม่สามารถจัดการเองได้ รวมไปถึงบริการบุคคลธรรมดาหรือ นิติบุคคลต้องการโซลูชันในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย อย่างเช่น Multi-Sig Wallet เป็นต้นเพื่อการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษา และโซลูชันสำหรับเก็บรักษา Bitcoin และ Digital Asset ด้วยตนเอง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์