หลอกลงทุนคริปโท GAME OVER เงินดิจิทัล อายัดยึดทรัพย์เฉลี่ยคืน 125 ล้าน

หลอกลงทุนคริปโท GAME OVER เงินดิจิทัล อายัดยึดทรัพย์เฉลี่ยคืน 125 ล้าน

ลุยขบวนการหลอกลงทุนคริปโท ตำรวจเปิดปฏิบัติการ GAME OVER เงินดิจิทัล 530 ล้าน บุกแม่สอด จ.ตาก และนครราชสีมา อายัดยึดทรัพย์เฉลี่ยคืน 125 ล้าน

กรณีขบวนการหลอกลงทุน คริปโท หรือคริปโต ตำรวจเปิดปฏิบัติการ GAME OVER เงินดิจิทัล 530 ล้าน อายัดยึดทรัพย์เฉลี่ยคืน 125 ล้าน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์  สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3

ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ GAME OVER ภาคต่อ ปฏิบัติการ “BLACK HAT Ep.2” ขุดรากถอนโคนขบวนการหลอกลงทุนคริปโต เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ค.67 เวลา 13.30 น. ณ อาคารกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ชั้น 3 (เมืองทองธานี)

เปิดโปงขบวนการหลอกลงทุน คริปโท หรือ คริปโต

สืบเนื่องจาก เมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้รับแจ้งความจากกลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงหลายท้องที่และมีรูปแบบแผนประทุษกรรมในรูปแบบเดียวกัน กล่าวคือ

  • มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมแล้วหลอกลวงให้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ครปโทเคอร์เรนซี หรือ Cryptocurrency
  • มิจฉาชีพสร้างแพลตฟอร์มปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกผู้เสียหายว่าได้กำไรจากการลงทุน
  • มิจฉาชีพจะหลอกล่อให้ผู้เสียหายนำเงินมาลงทุนเพิ่ม จนกระทั่งท้ายที่สุดไม่สามารถถอนคืนเงินลงทุนคืนได้
  • สร้างความเสียหายรวมกันมูลค่ากว่า 530 ล้านบาท  
  • ต่อมาคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน บช.สอท. สามารถรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหา นำมาสู่ปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโต ระดมกำลังตำรวจไซเบอร์ทั่วประเทศติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวนมาก
  • ภายหลังยังพบความเชื่อมโยงคดีระหว่างการหลอกลงทุนเงินดิจิทัลดังกล่าว กับคดีการพนันออนไลน์จึงประสานไปยังสำนักงาน ปปง. จนสามารถยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวเป็นเงินสดกว่า 117 ล้านบาท
  • พร้อมทั้งรถยนต์ Porscheจำนวน 1 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 125 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหาย

หลอกลงทุนคริปโท GAME OVER เงินดิจิทัล อายัดยึดทรัพย์เฉลี่ยคืน 125 ล้าน

ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมเงิน และข้อมูลโทรศัพท์ พบความเชื่อมโยงถึงตัวการที่รับผลประโยชน์จากการหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งถูกโอนเปลี่ยนสภาพมาเป็นเงินคริปโต    จึงแกะรอยข้อมูลการใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต พบว่ามีกลุ่มคนจีนเป็นผู้ที่ใช้กระเป๋าเงินคริปโตดังกล่าว  

ซึ่งมีข้อมูลการใช้งานอยู่ในพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีคนไทยที่เป็นลูกน้องคนใกล้ชิดที่ให้การสนับสนุนในการจัดหาหมายเลขโทรศัพท์สำหรับใช้อำพรางลงทะเบียนเปิดใช้กระเป๋าเงิน คริปโต และติดต่อซื้อขายเงินคริปโตเพื่อฟอกเงินให้ตัวการคนจีน

 พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จึงจัดทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาคนจีนที่เป็นตัวการรับผลประโยชน์ที่แท้จริง และคนไทยที่คอยสนับสนุนการกระทำความผิด เพิ่มเติมได้อีกจำนวน 4 ราย  

นำมาสู่ ปฏิบัติการ “BLACK HAT Ep.2” ขุดรากถอนโคนขบวนการหลอกลงทุนคริปโต  โดย พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สรกฤช พันธ์ศรี ผกก.3 บก.สอท.3 นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนจับกุมกลุ่มคนจีนและคนไทยที่เป็นตัวการดังกล่าว ในพื้นที่ แม่สอด จ.ตาก และพื้นที่ จ.นครราชสีมา จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนไทยที่ทำงานเป็นผู้สนับสนุนใกล้ชิดให้คนจีนที่เป็นตัวการได้ จำนวน 2 ราย ดังนี้

1.นายน้อย อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่เปิดลงเบียนหม่ยเลขโทรศัพท์ที่ใช้ลงทะเบียนกระเป๋าเงินคริปโตที่รับเงินจากการหลอกลวงผู้เสียหาย 

2.นายสมพงษ์ อายุ 41 ปี ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อซื้อขายเงินคริปโตเพื่อฟอกเงินให้ตัวการคนจีน 
             
ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” 
             
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นโทรศัพท์ บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีธนาคารที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการกระทำความผิด รวมถึงยึดทรัพย์สิน

- เงินสด

- โฉนดที่ดิน

- รถยนต์

- อายัดเงินในบัญชีธนาคารได้ รวมมูลค่าประมาณเกือบ 2,000,000  บาท

การปฏิบัติการในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงลงได้จากความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นตัวการที่แท้จริงได้ และขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบถึงกลโกงเพื่อเป็นแนวทางในการกันตนเองมิให้หลงเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีอีก

ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี , นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพชร์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ให้ความสำคัญและเร่งรัดให้ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

โดยเฉพาะการหลอกลวงให้ประชาชนลงทุนทรัพย์สินในรูปแบบต่าง ๆที่อ้างว่าได้รับผลกำไรผลตอบแทนในอัตราสูง กอปรกับปัจจุบันการลงทุนซื้อขายเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซีนั้น กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักลงทุน

ทำให้มิจฉาชีพนำมาใช้เป็นอุบายในการหลอกลวง โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเร่งรัดปราบปรามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเน้นย้ำให้จับกุมดำเนินคดีให้ได้ทั้งขบวนการ เพื่อสามารถนำเงินมาคืนแก่ผู้เสียหายให้ได้โดยเร็ว