บลจ.กรุงไทย ผนึกแบงก์แม่ รุก “ดิจิทัลแฟลตฟอร์ม” โตสวนตลาดผันผวน
เทรนด์ขายกองทุนบน “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ยังเติบโตสวนกระแสทุกตลาดสินทรัพย์ผันผวน ! ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เห็นทิศทางดังกล่าว จึงเดินหน้าผนึก “แบงก์แม่” (ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB) รุกขยายฐานลูกค้าเต็มสูบ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพช่วยเหลือลูกค้าบริหารการลงทุนด้วยตัวเอง รวมทั้งกองทุนประหยัดภาษี SSF-RMF ยังช่วยประคอง AUM หลัง 8 เดือนแรกปีนี้ ทั้งตลาดลดลง 6-7% แนะจัดพอร์ตใช้เงินใหม่ทยอยเก็บตราสารหนี้ หุ้นเวียดนาม-หุ้นไทย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บลจ.กรุงไทย ยังมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บน “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ที่ผสานความร่วมมือกับ ธนาคารกรุงไทย บน “4 ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ไม่ว่าจะเป็นแฟลตฟอร์ม กรุงไทยเน็กซ์ (Krungthai NEXT) , กรุงไทยคอนเน็กซ์ (Krungthai Connext) , กรุงไทยแคร์ ( Krungthai Care) และแอปพลิเคชันเคเทมสมาร์ท (Ktam Smart Trade) เพื่อให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของธนาคารทั้ง “รายใหญ่และรายย่อย” สามารถบริหารจัดการการลงทุนได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าปีนี้ตลาดผันผวนค่อนข้างสูง แต่บริการและการขายกองทุนรวม บนดิจิทัลแฟลตฟอร์มของ บลจ.กรุงไทย ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับความร่วมมือกับ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะบริษัทแม่อย่างดีทำงานร่วมกันค่อนข้างมาก ซึ่งในระยะถัดไป บลจ.กรุงไทย จะรุกทุกแพลตฟอร์มของกรุงไทยมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมให้ความรู้กับนักลงทุนมากขึ้นด้วย
“ปีนี้ตลาดการเงินและการลงทุนยังมีความผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยากจะคาดเดาได้นั้น ส่งกระทบต่อการลงทุนในทุกสินทรัพย์ ทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวม ปัจจุบันยังติดลบ 6-7% และ บลจ.กรุงไทยในปัจจุบันปรับลดลง แต่ช่องทางซื้อขายกองทุนรวมบนแอปและโซเชียลมีเดียสำหรับกลุ่มลูกค้าแบงก์ โตขึ้นได้ เชื่อว่าเป็น กลุ่มนักลงทุนที่มีความเข้าใจการลงทุนที่ดี”
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้เชื่อว่า กลุ่มกองทุนประหยัดภาษี อย่าง “กองทุนรวมเพื่อการออม” (SSF) และ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” (RMF) ยังคงช่วยกระตุ้นตลาดกองทุนรวมและถือเป็นการช่วยประคอง AUM ของตลาดกองทุนมากกว่าตลาดหุ้น
“ตั้งแต่ต้นปีมานี้ พบว่า กองทุนประหยัดภาษียังโตต่อเนื่อง โดยกอง SSF จะโตมากในช่วงต้นปี และช่วงปลายปีจะเป็นกอง RMF ถือว่า นักลงทุนเข้าใจตลาดและการลงทุนมาก ทยอยสะสมทั้งปีในช่วงจังหวะที่ตลาดปรับตัวลง ในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) ยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ได้กระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะตลาดหุ้นไทยยังติดลบน้อยกว่าตลาดอื่น”
นางชวินดา กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดยังเผชิญความเสี่ยงปัจจัยนอกประเทศที่ลากยาวและมีความผันผวนมากกว่าที่มองไว้ ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ลากยาวปีนี้และยังคาดไม่ได้ว่าขึ้นดอกเบี้ยจะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่
"คาดการประชุมเฟด ก.ย.นี้ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 0.75% และยังไม่จบต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐต่างๆ ที่จะทยอยออกมาว่าเป็นอย่างไรก่อน เพราะที่ผ่านมาไม่แย่ตามที่คาดไว้ อย่าง ตัวเลขคนว่างงานของสหรัฐออกติดลบน้อยลง เฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแรง และการขึ้นดอกเบี้ยยังเป็นทางเลือกสกัดเงินเฟ้อ ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจึงยังไม่ถึงปลายทาง”
แต่ที่เรากังวล คือ การทำ Quantitative Tightening (QT) ซึ่งเริ่มทำแล้ว แต่ยังไม่มาก โดย QT จะซ้ำเติมตลาดการลงทุนอยู่บ้าง ทำให้จัดพอร์ตลงทุนช่วงที่เหลือปีนี้ แนะนักลงทุนว่า ยังต้องใช้ความระมัดระวัง เน้นการกระจายการลงทุนเป็นหลัก และใช้เงินใหม่เข้าลงทุน
โดยเริ่มทยอยเข้าลงทุนในตราสารหนี้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ซึ่งในจังหวะที่ตลาดตราสารหนี้ผันผวนไปอีกระยะจนถึงปีหน้า แต่ยังคุ้มค่า ซึ่งตราสารหนี้จะเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจปี 2566
และหลังจากนั้นเมื่อตราสารหนี้เริ่มนิ่ง ก็ควรหันมากระจายการลงทุนโฟกัสตราสารทุนต่อ สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ คือ สะสม “หุ้นเวียดนาม” ที่เศรษฐกิจเติบโตสูงต่อเนื่องหลังโควิด และ “หุ้นไทย” หลังผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจไทยที่รับอานิสงส์ฟื้นตัวจากท่องเที่ยว และดอกเบี้ยนโยบายและบาทอ่อนค่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังดูแลได้ดี ประเทศไทยยังได้ประโยชน์สนับสนุนการฟื้นตัวได้ต่อ
“บลจ.กรุงไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย สิ้นปีนี้แตะ 1,700 จุดได้ กลุ่มหุ้นน่าสนใจ ได้แก่ ภาคบริการฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ขนส่งและส่งออก ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ หลายบริษัทเป็นบวก , กลุ่มธนาคาร ได้ประโยชน์ จากดอกเบี้ยขาขึ้น สินเชื่อขยายตัว ส่วนหนี้เสียไม่น่ากังวลเพราะ ธปท.มองในทิศทางที่ดี ส่วนกลุ่มพลังงาน เลือกลงทุนรายตัว ยังเติบโตต่อได้”
ขณะที่ “หุ้นจีน” หากใครถืออยู่ก็ให้ถือต่อไปก่อน และส่วน “หุ้นยุโรป หุ้นสหรัฐ หุ้นเทคโนโลยี” ใช้การพิจารณาเลือกหุ้นรายตัว หลังราคาหุ้นปรับลงมาเกือบ 30% มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นรายตัวพื้นฐานดีและโตต่อได้ แต่ยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าลงทุน