ไอ-เทล เปิดแผนขายหุ้นไอพีโอ เพิ่มกำลังการผลิต ต่อยอดโตระดับโลก
"เรายึดแนวการให้บริการแบบร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้าหรือ Co-Creation เพื่อคิดค้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เราโตมากกว่าตลาด" พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว
การนำทุกส่วนของปลาทูน่ามาใช้อย่างคุ้มค่า ด้วยการคิดค้นและพัฒนาให้เพิ่มมูลค่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง" หรือ Pet Food ของ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ที่เป็น "เรือธง" (Flagship) ในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU
สะท้อนผ่านทิศทางตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 6.6% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ระหว่างปี 2562-2564) การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโตมาก และมีการคาดการณ์ตลาดอีก 5 ปีข้างหน้า จะโตเฉลี่ยระดับ 7.1% ต่อปี หลังจากประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต โดยมีลูกน้อยลงและหันมาเลี้ยงสัตว์เป็นเหมือนครอบครัวมากขึ้น
ปัจจัยบวกดังกล่าว ส่งผลดีให้ ITC ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ และธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ในการผลิตอาหารแมวและสุนัขของประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 2 ในเอเชีย และเป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรกผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ภายในปีนี้ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างการเติบโตครั้งใหม่ หลังระดมทุนจะทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ด้วยการขยายกำลังผลิต และโฟกัสตลาดต่างประเทศ สะท้อนผ่านลงทุนขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงขยายโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ ตลอดจนการใช้เพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการชำระหนี้เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
สอดรับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะผลักดันอัตราการเติบโตของยอดขายให้เติบโตประมาณ 15% ต่อปีในช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่มากกว่าภาพรวมของตลาด เนื่องจากกลยุทธ์ของบริษัทฯ มีการโฟกัสในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาด โดยเฉพาะ OEM ที่ไม่เพียงพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสูตรสำเร็จ แต่ยึดแนวการให้บริการแบบร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า (Co-Creation) ด้วยนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้ารายใหญ่ทั่วโลก
ขณะที่ การขยายตลาดในต่างประเทศ เพื่อต้องการใกล้ชิดลูกค้าให้มากขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ยังมีโอกาสในการขยายเติบโตอีกมาก อย่างกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรได้เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะตลาดในจีนที่มีอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2564)
พิชิตชัย กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อผลิต อาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยหลักวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Pet Humanization ยกระดับอาหารสัตว์เลี้ยงให้เป็นอาหารระดับพรีเมียมโดยคำนึงถึงความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง ครอบครัวของพวกเขา และโลกของเรา
ด้วย "จุดแข็ง" บริษัทอยู่ในเครือของกลุ่ม TU ที่มีแหล่งวัตถุดิบที่ดี และมีศักยภาพในการแข่งขันด้านต้นทุน ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบคู่แข่งทำให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันและมีศักยภาพในการเติบโตได้ทั้งในและต่างประเทศ จากปัจจุบันมีพอร์ตฟอลิโออาหารสัตว์เลี้ยงทั้งแมวและสุนัขมากกว่า 4,800 รายการ ซึ่งจัดจำหน่ายในกว่า 45 ประเทศทั่วโลก โดยครอบคลุมทั้งธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงให้กับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก รวมทั้งได้เข้าทำสัญญาซื้อขายสินค้า (Supply Agreement) กับหนึ่งในบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในอเมริกาเหนือซึ่งมี โอกาสเติบโตได้อย่างมาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของ ไอ-เทล ได้แก่ Bellotta, Marvo , ChangeTer , Calico Bay และ Paramount เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการทดลองตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
พิชิตชัย ทิ้งท้ายว่า เราเน้นการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ เช่น ขยายส่วนแบ่งทางการตลาดของลูกค้าปัจจุบัน และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ขยายทีมขายและทีมสนับสนุนทางธุรกิจไปยังประเทศที่เป็นตลาดหลัก โดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา และจีน ขยายลูกค้าเครือซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของลูกค้ารายใหญ่ทั้งในกลุ่มอาหารแมวและอาหารสุนัข ทุกอย่างจะยิ่งชัดเจนหลังบริษัทฯ มีเงินระดมทุนพร้อมที่จะเติบโตต่อเนื่อง
หมายเหตุ *การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
"การจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564"