‘เครดิตบูโร’ หวั่นลบประวัติ’ลูกหนี้’กระทบระบบการเงิน
‘สุรพล’ เครดิตบูโร หวั่นลบประวัติลูกหนี้กระทบบามทั้งระบบการเงิน ซ้ำรอยวิกฤติการเงินในอดีต ชี้เป็นการปกปิดข้อมูลทางการเงินที่แท้จริง หวั่นแบงก์-ลูดหนี้ขาดความเชื่อมั่นระบบการเงิน
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า ตามที่มีการประกาศนโยบายยกเลิกแบล๊คลิสต์และเสนอแนวทางการใช้เครดิตสกอร์ริ่งมาแทนในระบบสินเชื่อ
ผมใคร่ขอนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณาดูนะครับ ชอบ, ไม่ชอบ เชื่อ,ไม่เชื่อ เห็นด้วย,เห็นต่าง เป็นเรื่องปกติในระบบประชาธิปไตยที่เราทุกคนได้รับการรับรองสิทธิในการแสดงออก ดังคำพระที่ว่า อย่าเชื่อแต่จงใช้สติและปัญญามาพิจารณาให้ถ่องแท้
1.แบล๊คลิสต์มีอยู่ในรายงานเครดิตบูโรหรือไม่ คำตอบคือไม่มีส่วนใดในรายงานเครดิตบูโรที่จะระบุว่า บุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้รายนั้น เป็นคนที่ไม่สมควรจะคบค้าสมาคม, ไม่สมควรจะทำธุรกิจด้วย หรือไม่สมควรที่จะได้สินเชื่อใหม่ที่กำลังยื่นขออยู่
2.ประวัติการชำระหนี้ที่อยู่ในรายงานเครดิตบูโรนั้นมาได้อย่างไร คำตอบคือ สถาบันการเงินสมาชิกของเครดิตบูโรเป็นคนส่งมาให้ทุกเดือนครับ มาตามที่กฏหมายกำหนด ใครมาเป็นสมาชิกก็ต้องส่งข้อมูลมาครับ คนทำธุรกิจจำนำทะเบียนหลายๆรายที่จดทะเบียนใน SET.เขาไม่มาเป็นสมาชิก เขาก็ไม่ได้ส่งข้อมูลมาครับ สหกรณ์ออมทรัพย์หลายรายก็แบบเดียวกัน และการมาเป็นสมาชิกเครดิตบูโรก็ด้วยความสมัครใจของสถาบันการเงินนั้นเอง หลายธนาคารต่างประเทศก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร
ดังนั้นใครไปเป็นลูกหนี้กับสถาบันการเงินเหล่านั้น ข้อมูลประวัติการชำระหนี้สินเชื่อของท่านก็ไม่มาที่ระบบเครดิตบูโรครับ
3.ประวัติที่ถูกส่งมายังระบบเครดิตบูโรคือประวัติการชำระหนี้ตามที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่ครับ ถ้าจ่ายได้ตามกำหนด ตามสัญญา ข้อมูลจะบอกว่า ไม่ค้างชำระ แต่ถ้าไม่ได้ไปจ่ายด้วยเหตุผลใดก็ตาม รายงานก็จะระบุว่าค้างชำระ ตามความจริงเป๊ะ เพราะถ้าคนส่งข้อมูลไม่ดูแลความถูกต้อง เขาจะมีความผิดในการส่งข้อมูลและมีโทษในทางอาญาครับ
ดังนั้น CEOของสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรจะเข้มงวดเรื่องนี้มาก
ทีนี้สมมติว่าเดือนเมษา 65 ไม่ได้จ่ายชำระหนี้ มันก็จะรายงานว่า เดือนเมษายน 2565 ค้างชำระ พอเดือนพฤษภา 65 ลูกหนี้เอาเงินไปเคลียร์สองยอด ยอดแรกคือของเก่าเดือนเมษา และยอดครบกำหนดปัจจุบันคือเดือนพฤษภาได้เรียบร้อย ประวัติก็จะแสดงว่า เดือนพฤษภา 2565 ไม่ค้างชำระ
ตามความเข้าใจของผมคือพรรคการเมืองเขาเสนอให้ลบความจริงเดือนเมษายน 2565 ออกไป คำถามคือ เราลบความจริงในประวัติเพื่อให้คนพิจารณาเงินกู้ไม่เห็น ไม่ให้แสดงความจริง กฏหมายมันบอกว่าสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรต้องส่งข้อมูลให้ถูกต้อง ครบถ้วน ทันสมัย ย้ำว่าต้องถูกต้อง
ทีนี้ถ้าลบแล้วข้อมูลประวัติมันก็แหว่งสิ่ครับ เพราะมันหายไปเดือนนึง คือเดือนเมษา คนพิจารณาให้กู้เขาก็จะรู้โดยอ้อมหรือไม่ว่าข้อมูลผิดปกติ แล้วคนฝากเงินที่เขาเอาเงินมาฝากเพื่อให้สถาบันการเงินเอาเงินไปให้กู้ต่อ เขาจะสบายใจมั้ยว่า สถาบันการเงินจะมีข้อมูลครบในการพิจารณาสินเชื่อ เราๆท่านๆเคยมีประสบการณ์ที่เกิดในปี 2540 มาแล้วนะครับว่าเพราะคนปล่อยกู้มีข้อมูลไม่ครบ ไม่เห็นนิสัย ประวัติการชำระหนี้ แต่ปล่อยกู้ไป ความเสียหายก็เกิดขึ้นนับเป็นเงินระดับล้านๆบาท ผ่านมา 20กว่าปีก็ยังใช้ไม่หมด
คนเสนอนโยบายก็มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วยใช่มั้ยครับ ลืมแล้วหรือไร
เรากำลังจะลบความจริงเพื่อให้คนขอกู้ไปเอาเงินฝากผ่านคนกลางที่พิจารณาเรื่องโดยมีข้อมูลแห่วง ไม่ครบ เราคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆเหรอครับ
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะครับ ถ้าอย่างนั้นต่อไป จะแก้ปัญหาคนไม่ได้งาน เพราะนายจ้างมีระบบคัดกรอง เราก็สนับสนุนให้ไปสมัครงาน โดยเอาใบเกรด 4ปี 8เทอมไปให้คนสัมภาษณ์ดู แต่เราก็สามารถลบวิชาที่เราสอบได้คะแนนไม่ดีออกไปได้ จะได้เหลือแต่วิชาที่สอบได้ดี เพื่อจะได้ผ่านการคัดกรอง มีงานทำ เรากำลังคิดจะทำกันแบบนี้เลยเหรอครับ
4.แน่นอนครับว่าระบบการให้สินเชื่อเรายังไม่ตอบโจทย์ ยังมีคนตัวเล็ก SME ขนาดจิ๋ว ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ หรือถ้าเข้าได้ก็โดนดอกแพง ยิ่งหลังโควิดมีแผลเป็นจากการชำระหนี้
เช่นเป็นคนเคยค้างแต่ตอนนี้ดีแล้วเป็นคนเคยประนอมหนี้แต่ตอนนี้กลับมาชำระปกติได้แล้ว
เป็นคนที่ยังมีคนค้าขายด้วย มีคนสั่งซื้อของแต่มีประวัติว่าเคยค้าง หรือแม้แต่ ปี 2562ก่อนโควิดชำระหนี้ได้ทุกบัญชี ชำระหนี้ได้เต็มปี เต็มคาราเบล 12เดือน พอปี 63เจอโควิด ปี 64เจอเดลต้า ปี65 เป็นหนี้เสียค้างเกินสามงวด เกิน 90วัน เป็นหนี้ NPLs. รหัส 21 เวลานี้เศรษฐกิจกลับมาแล้ว แต่แผลเป็นคือเป็นหนี้เสีย เข้าไม่ถึงเพราะกติกามันบอกว่าต้องปรับโครงสร้างหนี้ก่อนถึงจะใส่เงินใหม่ หนี้ใหม่เข้าไปได้
5.การจะได้เงินใหม่ หนี้ใหม่ มันก็ต้องมีข้อมูลว่ามีรายได้แล้วนะ ชัวร์นะ มีแน่นอนนะ ที่ผ่านมารายได้มันหดหาย ภาษาเทพ ภาษาพรหมคือ income shock เกิดหลุมรายได้
ข้อมูลด้านอื่นๆเช่น ใช้น้ำใช้ไฟ ชำระหนี้ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ตรงเป๊ะ ไม่ค้างนะ ไม่เหนียวหนี้ หรือแม้แต่เป็นลูกจ้าง Platform.ขายอาหาร ส่งของ ส่งสินค้า หรือมีข้อมูลจากผู้ซื้อที่เป็นกิจการของเจ้าสัว ว่าตัวเราเป็นซัพพลายเออร์ของเค้านะ มียอดขายรายเดือนเท่านั้นเท่านี้ ถ้าเรามีข้อมูลแบบนี้ที่เรียกว่าข้อมูลทางเลือก(Alternative data) ไปให้กับคนขอกู้ได้มันก็จะไปช่วยสมานแผลเป็นจากประวัติชำระหนี้ค้าง คิดง่ายๆคือเราต้องการฮีรูดอยล์เอาไปทาแผลเป็นให้ผิวเราดีและสวยใกล้เคียงเดิม แนวคิดนี้ในหลายประเทศข้างๆเราก็ทำเช่น
เครดิตบูโรของลาว ที่เอาข้อมูลค่าน้ำค่าไฟเข้าระบบ เครดิตบูโรกัมพูชาเอาข้อมูลเช็คเด้งเข้าระบบ เพราะเขารู้ว่ามันมีแผลเป็นครับ บ้านเราข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในมือกิจการขนาดใหญ่ Platform รัฐวิสาหกิจ ถ้าท่านเหล่านั้นยอมส่งข้อมูลไปยังสถาบันการเงินตามคำขอของลูกค้า
ในฐานะเจ้าของข้อมูล ภายใต้กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำเป็นขั้นตอนทางดิจิทัล ผ่านมือถือ มันก็จะทัดเทียมประเทศอื่นๆเขา ประเด็นคือการใช้ การแชร์ การส่งต่อข้อมูล ในโลกหลังโควิดครับ ข้อมูลเพิ่มมันก็จะช่วยให้รู้จักลูกค้าเพิ่ม
แต่ในทางกลับกัน ถ้าลูกค้าท่านเหนียวหนี้ ท่านไม่ไปจ่ายหนี้สาธารณูปโภค ท่านก็ไม่ได้สินเชื่อ แล้วเราต้องมีนโยบายเลือกตั้งครั้งหน้าให้ลบประวัติการค้างชำระหนี้พวกนี้อีกมั้ย... อันนี้ขอถาม
6.ถ้าเราเอาข้อมูลทั้งระบบเก่าคือประวัติการชำระหนี้ กับข้อมูลทางเลือกใหม่ มาผสมกันแบบที่ธนาคารโลกสนับสนุน และบ้านเราก็มีมติครม.ให้หน่วยงานไปดำเนินการมากว่า 5-7ปีที่แล้วในเรื่อง Ease of Doing business ถ้าเราทำให้จบเวลานั้น เราคงไม่มาพูดกันในเวลานี้ แต่ไม่เป็นไรครับ มันไม่สายที่จะทำ แม้แต่ทางธุรกิจโทรคมนาคมเข้ามีหนังสืออย่างเป็นทางการขอส่งและแลกข้อมูลของมือถือ(Mobile data) กฏหมายและผู้คุมกฏหมายก็ยังไม่อนุมัติให้ทำได้
เพราะกฏหมายในปัจจุบันมันไม่เปิดช่อง(ตีความแล้ว)ถ้าท่านนักการเมืองที่กำลังเสนอตัวมาทำตรงนี้ท่านทำได้จริง ทะลุกฏหมายล้าสมัยได้จริง ผมจะขออนุโมทนา สาธุครับ
การกลับไปลบความจริงที่เกิดขึ้นในการชำระหนี้ตามความเข้าใจของผมแล้วเชื่อว่ามันจะช่วย อยากให้ช่วยกันคิดให้ครบ อย่าสุกเอาเผากิน ใช้ความรู้จริง อย่าใช้ความรู้สึก นโยบายต้องมาจากความจริง ความดี มันถึงจะงอกเป็นความงาม มันต้องไม่ทำร้ายระบบเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ
สิ่งที่นำเสนอมาเป็นเรื่องที่ดีมากครับ เปิดทางให้ผมได้เสนอข้อมูล ผมเห็นด้วย รายงานวิชาการก็เห็นด้วย มติครม.ก็มีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำด้วยความรู้และความกล้า เพื่อพัฒนาชาติ ประเทศ เศรษฐกิจของไทย
เห็นด้วยครับในเรื่องปรับปรุงแนวคิดระบบการให้สินเชื่อของประเทศไทยเรา เพราะเรามีแผลเป็นจากโควิดในตัวคนกู้มากมาย และเขาต้องไปต่อ
หากแต่เราจะไปยกเลิกในสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง ไม่เคยมี เป็นเรื่องของสิ่งที่พูดกันต่อๆมา ตามความเชื่อ ไม่มีหลักฐาน เราคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ เพราะเรามีสติปัญญาความกล้าหาญมากกว่านั้นแน่นอน
สุดท้าย ในศีล 5ข้อจะมีเรื่องของการไม่โกหก ไม่พูดเท็จ ไม่ทำให้คนอื่นเชื่อในความเท็จ คนไทยต้องกล้าครับ กล้าที่จะแก้ไข ต้องไม่กล้าที่จะส่งเสริมการลบความจริง มันมีนวัตกรรมทางความคิดที่ดีมากในส่วนที่สองคือ หาข้อมูลเป็นฮีรูดอยล์มาบรรเทาความทุกข์จากแผลเป็นที่ทำให้เราดูไม่ดีจนคนเค้าไม่เชื่อที่จะให้เรายืมเงินอ่ะครับ