เศรษฐศาสตร์จุฬาฯ สุดล้ำให้นิสิตส่งการบ้านด้วย ChatGPT ปั้นคนเป็นไอรอนแมน
เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยคอนเซปต์การเรียนรู้ในโลกยุคดิจิทัล เน้นทดลองใช้เทคโนโลยีเพื่อรู้เท่าทัน และค้นพบดีมานด์ใหม่ เปรียบการแข่งขันยุคใหม่เหมือนหนังไอรอนแมน หมดยุคกังวลเรื่อง AI แย่งงานคน แต่กลายเป็นคนต้องรวมพลังกับ AI เพื่อแข่งกันเอง
รศ.ดร.วรประภา นาควัชระ ผู้ช่วยอธิการบดี และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของวิชาเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital and Innovative Economy) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Econ Connect ว่าวิชานี้ได้เปิดการเรียนการสอนมา 7-8 ปีแล้ว สอนให้นิสิตรู้จักกับ Digital Economy ซึ่งก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล และมีผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หลักคิดและการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์จึงต้องเปลี่ยนตาม
อาทิ GDP แบบดั้งเดิมไม่สามารถเก็บตัวเลขได้ทั้งหมดอีกต่อไปเนื้อหาที่สอนได้มีการเปลี่ยนทุกปีให้ตามทันเทคโนโลยีใหม่และเชิญวิทยากรภายนอกที่หลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้ ได้ให้นิสิตทำการบ้านด้วย ChatGPT ด้วยวัตถุประสงค์หลักคือ การเข้าใจ และเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีว่ามีความสามารถและข้อจำกัดอย่างไรโจทย์คือ การเขียนนิยายส่งด้วย AI
เช่น ChatGPT และสร้างรูปประกอบโดยใช้ AI เช่น Midjourney, Dall-E เป็นต้น ซึ่งในท้ายที่สุด นิสิตเป็นผู้ค้นพบข้อจำกัดเองว่า หากต้องการทำนิยายต่อเนื่องหลายหน้า ChatGPT จะไม่สามารถทำได้ดี ยังคงต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์หรือความคิดนอกกรอบของมนุษย์เข้าไปเติมเต็ม และมีการนำมาถกเถียงร่วมกันต่อในห้องเรียนถึงการใช้งานในโลกจริงที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
รศ.ดร.วรประภา กล่าวในรายการ Econ Connect ว่า เราเลยจุดที่จะมานั่งกังวลว่า AI จะแย่งงานคน สมัยก่อนเป็นยุคของคนแข่งกัน ถัดมาเป็น AI แข่งกับ AI จนกระทั่งปัจจุบันเราก้าวสู่ยุค ‘คน+AI’ แข่งกับ ‘คน+AI’ หรือเรียกว่ายกระดับเป็น super human เช่นเดียวกับยุคสมัยที่เครื่องคิดเลขถูกคิดค้นขึ้นมา ทุกคนก็ต้องหัดใช้เครื่องคิดเลขเพราะใครๆ ก็เริ่มใช้ แม้วันนี้เครื่องมือใหม่ๆ อาจจะดูใช้งานยาก แต่คนที่ใช้เป็นก่อนมีโอกาสได้เปรียบเป็นผู้ชนะ
“ในหนังเรื่อง Iron Man พระเอกจะมี Jarvis ที่เป็น AI คอยเป็นผู้ช่วยประมวลผลตอบคำถาม และมีชุดเกราะสีแดงช่วยให้สะเทินน้ำสะเทินบก นั่นคือ ตัวอย่างของการที่คนเอาเทคโนโลยีมาเพิ่มความสามารถของตนเอง ทำให้ทั้งสมองคิดคำนวณได้ไวขึ้น และร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ก้าวข้ามข้อจำกัดของการเสื่อมตามธรรมชาติของมนุษย์”
รศ.ดร.วรประภา กล่าวต่อว่า หัวใจสำคัญคือ การเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันคือ AI แต่อนาคตอาจเป็นอย่างอื่นได้อีก ควอนตัมเทคโนโลยีอาจมาแทนที่ก็เป็นได้ เราจึงต้องเปิดใจพร้อมเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา ส่วนตัวไม่มีความกลัวเรื่องดิสรัปชั่น กลับรู้สึกว่ามันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น นั่นหมายถึงผลผลิตที่มากขึ้นท่ามกลางประชากรโลกลดลง
อีกทั้งเมื่อมีดิสรัปชั่นใหม่เข้ามา จะทำให้เกิดความต้องการใหม่ๆ (New Demand) ยกตัวอย่างเช่น การแอบใช้ ChatGPT ในการเขียนรายงานหรือข้อสอบที่มีกติกาว่าห้ามใช้ AI ฝั่งสถาบันการศึกษาก็ต้องหาเครื่องมือมาตรวจสอบงานที่ถูกเขียนโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI Detection Tool) นักธุรกิจที่เห็นโอกาส ก็สร้างเครื่องมือเหล่านี้ออกขายสู่ท้องตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้ฝั่งสถาบันการศึกษาจะเตรียมความพร้อมเด็กรุ่นใหม่ให้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี และเปิดสถาบันการศึกษาเพื่อให้คนทำงานเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น ในจุฬาฯ มีการเก็บสะสมวิชาเรียนแบบ Credit Bank แต่ในโลกจริง ยังต้องการคนช่วยกันใช้เทคโนโลยีให้มากพอ เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีที่ออกมาใหม่สามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วสังคมจะพบว่าหลายปัญหาไม่สามารถแก้ด้วยเทคโนโลยีชนิดเดียว ซึ่งจะมีคนหาโอกาสพัฒนาต่อเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างนี้เรื่อยไป
สำหรับคลิปฉบับเต็ม รับชมได้ทางยูทูบ และพอดแคสต์ในรายการ Econ Connect โดยศิษย์เก่า และอาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันนำความรู้ และมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์มาสื่อสารกับสังคม
อาทิ บรรยง พงษ์พานิช, ธนา เธียรอัจฉริยะ, รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม, รศ.ดร.สิทธิเดช พงศ์กิจวรสิน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์