ทีเอ็มบีธนชาต โตแกร่ง โค้งแรกกำไร 4.2พันล้าน เพิ่ม34%

ทีเอ็มบีธนชาต โตแกร่ง โค้งแรกกำไร 4.2พันล้าน เพิ่ม34%

ทีเอ็มบีธนชาต ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามแผน โดยหนี้เสียทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.69% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ หรือกันชนรองรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 140%

        นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย และสะท้อนถึงผลลัพธ์จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของทีเอ็มบีธนชาต ที่เน้นย้ำการเติบโตธุรกิจอย่างมีคุณภาพ

        ควบคู่ไปกับการนำเอาจุดแข็งจากการรวมกิจการมาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการสร้างกำไร ที่สำคัญอีกประการคือการดูแลสถานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธนาคารให้พร้อมรับมือกับทุกสภาพเศรษฐกิจ  

       โดยในการดูแลสถานะทางการเงินนั้น ธนาคารดำเนินการผ่านการบริหารจัดการทุกองค์ประกอบของงบดุลทั้งด้านสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนทุนให้มีคุณภาพ เช่น ในด้านสินเชื่อ ธนาคารใช้กลยุทธ์การเติบโตอย่างรอบคอบ เน้นที่คุณภาพ เพราะไม่ต้องการสร้างความเสี่ยงต่องบดุลภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง

       ด้านพอร์ตการลงทุน ธนาคารมีนโยบายการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เพื่อจุดประสงค์ในการบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก ไม่มีนโยบายแสวงหาผลกำไรจากการลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงสูงแต่อย่างใด ในด้านเงินฝากก็เน้นขยายฐานเงินฝากกลุ่มลูกค้ารายย่อยในประเทศเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของผู้ฝากรายใหญ่ และในการบริหารส่วนทุน ก็ต้องมีประสิทธิภาพและเพียงพอพร้อมรองรับการเติบโตทางธุรกิจ

 

       ผลลัพธ์จากการดำเนินการทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ทีเอ็มบีธนชาตมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการที่ธนาคารสามารถรักษาแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลกำไรมาตลอด 6 ไตรมาส

      ขณะที่สถานะทางการเงินก็แข็งแกร่งขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่เพิ่มขึ้นจากระดับก่อนรวมกิจการที่ประมาณ 18% ขึ้นมาสู่ระดับ 20% ในปัจจุบัน อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ

.      ซึ่งสะท้อนถึงกันชนป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 120% มาอยู่ที่ 140% หรืออัตราส่วน LCR (Liquidity Coverage Ratio) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดด้านสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 180% จากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 100% ทำให้มั่นใจได้ว่า ทีเอ็มบีธนชาตมีสถานะทางการเงินหลังการรวมกิจการที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีการดำรงสภาพคล่องและเงินกองทุนที่เพียงพอ และมีความพร้อมที่จะเติบโตตามแผนธุรกิจที่วางไว้ 

      โดยในปี 2566 นี้ เราตั้งเป้าที่จะเติบโตสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ด้วยการต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถแลกเงิน (ttb cash your car) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ttb cash your home) สินเชื่อ ttbpayday loan และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถ โดยจะเน้นฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการเป็นหลักซึ่งธนาคารรู้จักและเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี

      เป็นผลดีต่อการบริหารความเสี่ยงและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการ นอกจากนั้นแล้วยังเตรียมนำเสนอโซลูชันทางการเงินสำหรับกลุ่มพนักงานเงินเดือน คนมีบ้าน คนมีรถ ด้วยแนวคิด Ecosystem Play ซึ่งจะทยอยเปิดตัวให้บริการในไตรมาสถัด ๆ ไป