ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้งเป้า 3 ปีดึงลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง 1.3 ล้านราย
ไทยพาณิชย์จูเลียส แบร์ ตั้งเป้า 3 ปี ดึงลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง 1.3 ล้านราย จาก 4 แสนราย ในปัจจุบัน ขึ้นแท่นผู้นำ International Private Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง หลังเห็นโอกาสการลงทุนเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า ภายใต้ความร่วมมือกับจูเลียส แบร์ ทางบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด ตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะดึงฐานลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (wealth) ระดับสูงในประเทศไทย หรือกลุ่มที่มีเงินลงทุนมากกว่า 50 ล้านบาท จำนวน 1.3 ล้านราย จากปัจจุบันมีฐานลูกค้ากลุ่มที่มีการลงทุนตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ที่จำนวน 4 แสนราย
เขามองว่า โอกาสการลงทุนในเอเชีย และไทยยังเติบโตอีกมากในกลุ่ม wealth โดยใน 5-10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนได้เคลื่อนย้ายจากยุโรปมาเอเชีย และยังเห็นโอกาสลงทุนที่ชัดเจนใน 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งสินทรัพย์การลงทุนในเอเชียปัจจุบันอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดใน 3-5 ปี จะเติบโตเป็น 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กรณีของไทยก็ยังเห็นโอกาสมาก ปัจจุบันมีสินทรัพย์ลงทุนประมาณ 25 ล้านล้านบาท เชื่อใน 3-5 ปี จะเติบโตได้เฉลี่ย 4-5%
“เรามั่นใจว่า บนความร่วมมือกับจูเลียส แบร์ ลูกค้า ในการดูแลการลงทุนลูกค้าในระดับบนจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง เพราะเราดูแลการลงทุนแบบองค์รวมระยะยาว ตั้งแต่การลงทุนในบาทแรก จนถึง การส่งต่อการลงทุนให้ลูกหลาน เชื่อว่า ลูกค้าเราอยากได้ความมั่งคั่งที่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้ ทำให้ธนาคารสามารถครองอันดับหนึ่งในการเป็นดิจิทัลแบงก์ด้านการบริหารความมั่งคั่งได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมมอบประสบการณ์ให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทางให้กับลูกค้า สอดคล้องกับกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ทั้งนี้ จูเลียส แบร์ ให้คำมั่นในการเป็นพาร์ทเนอร์กับเราในระยะยาว”
ทั้งนี้ ฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth ของธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 40% และมีแผนงานขยายฐานลูกค้าเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่า 12% ต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่ม young affluent ที่มีความสนใจในการวางแผนการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินการลงทุนที่หลากหลาย และ เป็น open architecture รวมถึงการขยายฐานลูกค้านักลงทุน digital investors ผ่านการพัฒนา wealth platform ที่ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนที่ครบวงจร
นายฟิลลิปป์ ริคเคนแบเคอร์ (Philipp Rickenbacher) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป กล่าวว่า จูเลียส แบร์ มีความมุ่งมั่นในการขยายตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชีย โดยเอเชียนับเป็นบ้านแห่งที่สองของเรา และสำหรับประเทศไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เราให้ความสำคัญในการขยายขอบเขตการให้บริการ เรามองว่ายังคงมีโอกาสอีกมากมายสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย
“เรามองว่า ภายใต้ความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ยังมีโอกาส จึงอยากให้นักลงทุนเชื่อมั่น และ Active เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้ถดถอยขนาดนั้น และราคาพลังงานก็ไม่ได้สูง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แบงก์ในต่างประเทศ รวมถึง ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่เป็นความเสี่ยง ก็เป็นปัจจัยที่เรานำมาพิจารณาเช่นกัน”
ทั้งนี้ จูเลียส แบร์ ในฐานะผู้นําตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับโซลูชันด้านการวางแผนความมั่งคั่งที่มีความซับซ้อน (Wealth Planning) เนื่องจากหลายครอบครัวหันมาใช้กลยุทธ์ที่มีโครงสร้างอย่างมืออาชีพสำหรับวางแผนอนาคตทางการเงินของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังมีความมุ่งมั่นในการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบด้วยการผสมผสานหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับข้อเสนอด้านการลงทุนส่วนใหญ่ของเรา และด้วยการให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคล พร้อมปรับเปลี่ยนให้ก้าวทันต่อความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา ทำให้เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเติบโตแบบมีนัยสำคัญ และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในธุรกิจเวลธ์ แมเนจเม้นท์
ด้าน นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับปี 2566 การปรับนโยบายการเงินเริ่มกลับมาเป็นปกติหลังจากที่มีการใช้นโยบายที่ตึงตัวอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ กระบวนการ Disinflationary ในสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไป แต่ยังคงมีความผันผวนในระดับสูงจากความเปราะบางเชิงโครงสร้างในด้านอุปทาน กลยุทธ์การลงทุนเราแนะนำให้เข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่คุณภาพดี ลดการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (High yield Bond) ขณะที่การลงทุนในหุ้นเรายังแนะนำให้ใช้กลยุทธ์แบบ Barbell คือ ลงทุนทั้งในกลุ่มที่เป็น Secular growth ที่ยังคงมีการเติบโตที่ดีผสมกับหุ้นคุณภาพที่เป็นกลุ่มปลอดภัย (Defensive) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักการลงทุนเชิงบวกคือ กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และกลุ่มสื่อสาร (Communication)”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์