ยูโอบี ชูลงทุน “ตราสารหนี้” รับมือเศรษฐกิจผันผวนครึ่งปีหลัง
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนาการลงทุน Mid-Year Outlook แนะแนวทางลูกค้าในการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังท่ามกลางความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ชูลงทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น 16%
นายเอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า สำหรับการลงทุนภายใต้สภาวะผันผวน และมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย การลงทุนต้องมีการจำกัดความเสี่ยงมากขึ้น ในช่วงเศรษฐกิจขาลง โดยแนะนำลงทุนในพันธบัตร และตราสารหนี้ ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
เช่นการลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร ที่นอกจากได้ผลตอบแทนที่ดี จากดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังมีโอกาสได้รับแคปิตอลเกนเพิ่มขึ้นด้วย โดยหากดูผลตอบแทนในตราสารหนี้ในช่วง 30ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4% หากเทียบกับการลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 11% หรือให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในหุ้นถึง 16%
“เราพบว่าการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขาลง การลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ เป็นการลงทุนที่มีโอกาสชนะตลาดได้ โดยหากดูสถิติที่ผ่านมา สามารถชนะหุ้น16% และช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตราสารหนี้มักให้ผตลตอบแทนที่ดีราว 4-5% และแถมมีโอกาสได้ยิลด์เพิ่มขึ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม แนะนำถือพอร์ตลงทุนที่มีความหลากหลายที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ทางการเงินในระยะยาวของนักลงทุน
โดยกล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนได้รับผลกำไรตามคาดหมายควบคู่ไปกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง เช่น การล่มสลายของธนาคารระดับภูมิภาคถึง 3 แห่งทั้งในและนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในวงการธนาคาร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) เริ่มเข้าสู่สภาวะชะลอตัว
และอาจทำให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังนี้เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ธนาคารพร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เข้ากับวัตถุประสงค์ทางการเงินในระยะยาว
นายลิมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับลูกค้าที่ควรลงทุนในตราสราหนี้ประเภท Investment Grade (IG) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อได้ขึ้นไปแตะจุดสุงสุด
และการดำเนินนโยบายทางการเงินทั่วโลกแบบรัดกุมกำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุด โดยการลงทุนในตราสารหนี้ที่ถือครองแบบระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และโอกาสในการซื้อตราสารหนี้ที่น่าสนใจเหล่านี้อาจหมดไปในอนาคตอันใกล้นี้
อีกทั้งการลงทุนในตราสารหนี้มักจะให้ผลตอบแทนสูง และกำไรจากส่วนต่าง (Capital Gain) ดีกว่าการลงทุนในหุ้น ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย”
ในส่วนของ Top Ideas สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะลงทุนในหุ้น นายลิมแนะนำให้ลูกค้าลงทุนในกลุ่มการดูแลสุขภาพทั่วโลก(Global Healthcare)
เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการรองรับสังคมผู้สูงอายุและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และหุ้นในเอเชียแปซิฟิกที่ไม่รวมญี่ปุ่น อาเซียน และ จีน (Asia-ex Japan/ASEAN/China) แม้จะยังเจอแรงปะทะในระยะสั้นจากการที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และมูลค่าการส่งออกทั่วภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลง แต่ในมุมมองระยะกลาง เป็นไปในเชิงบวก จากการบริโภคในภูมิภาคที่ยังแข็งแรง อีกทั้งระดับมูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
นายเอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economic and Market Research ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “ธนาคารมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ในปีนี้
อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 3.5 ในปี 2567 นอกจากนี้ผลพวงจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกจะช่วยให้ประเทศไทยคงสถานภาพดุลการค้าเกินดุล
โดยธนาคารเชื่อมั่นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี มีสถานะทางการคลัง และนโยบายการเงินที่มั่นคง”
นายเอ็นริโก้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบร้อยละ 6 ในปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำลงนี้จึงส่งผลกระทบเชิงลบน้อยลงต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประเมินอยู่ที่ร้อยละ 1-3
ธนาคารประเมินว่าในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะลดลงไปอยู่ที่ร้อยละ 2.2 จากระบบห่วงโซ่อุปทานโลกที่เข้าสู่ภาวะฟื้นตัว
ถึงแม้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และปัญหาหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารยูโอบี ยังเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงสามารถมองหาโอกาสในการพัฒนา จจากภาคการส่งออกอาหารที่มีความเข้มแข็ง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และอี-คอมเมิร์ซ์
พัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันด้านการบริหารความมั่งคั่ง
นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการให้บริการเฉพาะบุคคล โดยกล่าวว่า “ธนาคารยูโอบีมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและเทคโนโลยี ที่พร้อมให้บริการแนะนำการลงทุนแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ธนาคารจะมีการเปิดตัว PAT (Portfolio Advisory Tool) ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบและบริหารพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ธนาคารยูโอบีพร้อมให้คำปรึกษากลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมในประเทศ และกองทุนรวมต่างประเทศ รวมถึงมอบบริการเฉพาะบุคคลที่คำนึงถึงเป้าหมายในการลงทุนของลูกค้าแต่ละราย ร่วมกับสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ตลาด และความต้องการในทุกช่วงของชีวิต
นักลงทุนต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และกระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของธนาคารยูโอบี และผลิตภัณฑ์และบริการลงทุนที่หลากหลายและครบวงจรสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์นอกประเทศไทย ธนาคารสามารถมอบคำแนะนำด้วยความใส่ใจในทุกเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ก่อนการตัดสินใจลงทุนใดๆ นักลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าพวกเขามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนและได้พิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น