อินเดียกับโอกาสในการลงทุน
ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น หลังจากถูกมองข้ามในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งและตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักทั่วโลกแนะนำให้ลงทุนในหุ้นอินเดีย เนื่องจากคาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีกหลายปี ในขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในระดับที่แพงเกินไป
ทั้งนี้ เศรษฐกิจอินเดียในไตรมาส 2 ปี 2566 ขยายตัวสูงถึง 7.8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน หลังจากโต 6.1% ในไตรมาส 1ปี 2566 ตามการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยธนาคารกลางอินเดียคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียอาจขยายตัวราว 6.5% ในปีนี้ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจอินเดียจะยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง โดย PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ 58.6 ในเดือนส.ค. จาก 57.7 ในเดือนก.ค. ในขณะที่ PMI ภาคบริการลดลงสู่ 60.1 จากระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีที่ 62.3 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นและขยายตัวเป็นเดือนที่ 26 ติดต่อกัน แต่ภาคบริการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้ คำสั่งซื้อใหม่ ผลผลิต และการส่งออกของภาคการผลิตและภาคบริการ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เศรษฐกิจอินเดียมีพื้นฐานที่ดีขึ้น โดยจำนวนประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นแซงหน้าจำนวนประชากรจีนในปีนี้ อีกทั้งมีจำนวนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น และรายได้ของชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น โดยรายงานของธนาคารโลกระบุว่า 68% ของประชากรอินเดียอยู่ในวัยทำงาน ดังนั้น การบริโภคภายในประเทศจึงมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องอีกยาวนาน นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคงล้าหลังอยู่มาก ซึ่งจะส่งผลดีในหลายๆด้าน เช่น มีเงินจากภาครัฐเข้าสู่ระบบมากขึ้น การขยายตัวของความเจริญ ต้นทุนการขนส่งลดลง เป็นต้น
รวมถึงอาจส่งผลให้บริษัทต่างชาติมองอินเดียเป็นทางเลือกในการลงทุนแทนจีน เนื่องจากที่ผ่านมาปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐานมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทต่างชาติตัดสินใจไม่ลงทุนในอินเดีย ถึงแม้อินเดียมีประชากรใกล้เคียงกับจีนและสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาถูกกว่าก็ตาม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้เดินหน้าเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอินเดียอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อินเดียจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพ.ค.ปีหน้า จึงคาดว่ารัฐบาลของนายโมดี จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการอื่นๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มคะแนนนิยม และเพิ่มความมั่นใจว่าพรรค BJP ของเขาจะชนะการเลือกตั้ง หลังจากพรรคฝ่ายค้าน 26 พรรคของอินเดียได้จับมือกันเพื่อพยายามโค่นล้มนายโมดี ที่อยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2557 โดยตัวอย่างที่เด่นชัดว่านายโมดีได้ประกาศมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้คะแนนนิยมของเขาลดลงได้แก่ การประกาศระงับการส่งออกข้าวเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนภายใประเทศ เพราะถ้าหากประชาชนประสบปัญหาปากท้อง อาจส่งผลให้คะแนนนิยมของนายโมดีลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นช่องว่างให้พรรคฝ่ายค้านโจมตีได้
ในส่วนของตลาดหุ้นอินเดีย เป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดมากกว่าตลาดหุ้นอังกฤษและฝรั่งเศสรวมกัน ทั้งนี้ ดัชนี BSE Sensex และ NIFTY 50 ต่างปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มยานยนต์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
รวมถึงได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่ามีบริษัทที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ราว 70 บริษัท มีมูลรวมกว่า 5 แสนล้านรูปี ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียมีขนาดใหญ่จนนักลงทุนไม่ควรมองข้าม
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนเตือนว่าราคาหุ้นหลายตัวในตลาดอยู่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาการลงทุนโดยเลือกหุ้นรายตัว และการกระจายความเสี่ยง หรือลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารแบบเชิงรุก (active management) เพราะราคาหุ้นบางตัวอาจถึงแนวต้านหรือเผชิญแรงขายทำกำไร ในขณะที่ นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ การขยายตัวของภาคการผลิต อุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และมาตรการต่างๆที่อาจประกาศออกมาก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอินเดียจึงแพงอย่างมีเหตุผล และมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
สำหรับกองทุนของไทยที่มีการลงทุนในหุ้นอินเดียมีอยู่พอสมควร โดยมีทั้งกองทุนที่เน้นลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย (passive investment) และลงทุนแบบเลือกหุ้นรายตัว (active investment) รวมถึงมีกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นจีน
นอกจากนี้ กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียก็มีการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนหรือขอคำปรึกษาจากผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงนโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน