‘เศรษฐกิจจีน’ กำลัง ’ล่มสลาย’จริงหรือ?
นักลงทุนอาจได้ยินข่าวปัญหาหนี้ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนมาตลอดหลายสัปดาห์ ทำให้หลายคนกังวลว่าปัญหาดังกล่าวอาจลุกลามเหนือการควบคุม และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของจีนพังทลายไปด้วย
StashAway จึงอยากเจาะลึกอุปสรรคที่จีนกำลังเผชิญอยู่ว่าจะบานปลายกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่หรือไม่ รวมถึง ‘โอกาส’ ระยะยาวที่ซ่อนอยู่ในประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้
'ยศกร นิรันดร์วิชย' กรรมการผู้จัดการ บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ว่า ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนไม่ได้กำลังเข้าสู่วิกฤติครั้งใหญ่ หลายฝ่ายต่างกังวลว่าปัญหาหนี้จะลุกลามกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ
เพราะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีขนาดใหญ่มาก หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25-30% ของเศรษฐกิจจีน และแม้ว่าข้อมูลสำคัญหลายประการจะชี้ว่าจีนกำลังเผชิญกับวัฏจักรขาลง แต่ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าปัญหาในครั้งนี้ยังไม่ใช่วิกฤติใหญ่
● ราคาสินค้าโภคภัณฑ์: เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ การหยุดชะงักของเศรษฐกิจจีนจะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลายชนิด ตั้งแต่ทองแดง โลหะ ไปจนถึงน้ำมัน แต่จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่ว่ายังไม่ได้เกิดขึ้น แม้ราคาทองแดงและเหล็กจะเคยลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ได้ฟื้นตัวและคงที่ในปัจจุบัน
● ข้อมูลทางเศรษฐกิจ: เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) มักเป็นเครื่องมือชี้วัดสถานการณ์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้ดี โดยตัวเลข PMI ในภาคการผลิตวนเวียนอยู่ที่ระดับ 50 จุด (เส้นแบ่งระหว่างเศรษฐกิจขยายตัวหรือหดตัว) ขณะที่ตัวเลขในภาคบริการและนอกภาคการผลิต แม้จะลดลงแต่ก็ยังอยู่เหนือระดับ 50 จุด ซึ่งหมายความว่ายังขยายตัวอยู่
● กลุ่มธุรกิจธนาคารจีน: สิ่งสำคัญ คือ หากปัญหาในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทวีความรุนแรงมากขึ้น เสถียรภาพของธนาคารจีนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะควบคุมไม่ให้ปัญหานี้ลุกลามกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ของธนาคารจีนในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมายังอยู่ที่ 1.6% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) ด้วยกัน เห็นได้จาก NPL ของอินเดียที่อยู่ราว 5%
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หาก Developer จีนที่เผชิญปัญหาอยู่ในขณะนี้ (ประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด) ไม่สามารถชำระหนี้ได้
'ยศกร' คาดว่า ผลกระทบที่มีต่อสินทรัพย์ของธนาคารจะต่ำกว่า 2% เพราะธนาคารจีนมีสัดส่วนการปล่อยกู้แก่ Developer ค่อนข้างจำกัด และเนื่องจากอัตราส่วนเงินทุนทั้งหมดต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ของธนาคารจีนยังอยู่ที่ 14.7% หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว CAR ก็จะไม่ลดลงไปต่ำกว่าระดับขั้นต่ำที่ทางการจีนกำหนดไว้ที่ 10.5-11.5%
ในระยะสั้น จีนยังต้องเผชิญอุปสรรคทั้งจากในและนอกประเทศ
ปัญหาในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนได้สร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจจีนโดยรวมค่อนข้างมาก เนื่องจากมีสัดส่วนใน GDP ค่อนข้างสูง ซึ่งเม็ดเงินลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง (-10% เมื่อปีที่แล้ว และ -8.5% ในปีนี้นับถึงสิ้นเดือน ก.ค.) จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
นอกจากนี้ จีนยังเผชิญแรงกดดันในด้านการส่งออก ซึ่งเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจและคิดเป็นสัดส่วน 20% ของ GDP โดย Demand จากสหรัฐที่ชะลอตัวทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนลดลงไปด้วย เนื่องจากสหรัฐเป็นคู่ค้าหลักอับดับ 1 ของจีน โดยในเดือน ส.ค. ยอดส่งออกทั้งหมดของจีนยังลดลง 8.8% YoY หลังจากที่ปรับตัวลงถึง 2 หลักในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ที่ผ่านมา
รัฐบาลจีนกำลังจัดการความเสี่ยง แต่มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
"ที่ผ่านมา ทางการจีนได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อป้องกันปัญหาลุกลามไปยังเศรษฐกิจโดยรวม เช่น ลดยอดดาวน์ ผ่อนคลายข้อจำกัดการซื้อที่อยู่อาศัย และสนับสนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับนักลงทุน"
ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน โดยในเดือน ส.ค. PBOC อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากถึง 3.3 ล้านล้านหยวน
อย่างไรก็ตาม 'ยศกร'คาดว่ารัฐบาลจีนไม่น่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหมือนกับในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 เนื่องจากนับตั้งแต่นั้น ทางการจีนได้ตั้งเป้าหมายลดหนี้ในภาคเอกชนและป้องกันภาวะฟองสบู่ ทำให้โอกาสกลับไปใช้วิธีกระตุ้นครั้งใหญ่จึงค่อนข้างต่ำ
ในระยะยาว จีนกำลังสร้างเครื่องยนต์ลูกใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน จีนกำลังมุ่งมั่นพัฒนาภาคธุรกิจใหม่ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น กลุ่มธุรกิจ EV โดยรัฐบาลได้วางรากฐานในกลุ่มธุรกิจ EV มาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2000 ส่งผลให้ในปัจจุบัน ผู้ผลิต EV จีนสามารถผลิตรถและชิ้นส่วนที่มีคุณภาพในราคาจับต้องได้ ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดย UBS ประเมินว่า ผู้ผลิต EV จีนจะครองสัดส่วนในตลาดรถยนต์โลกถึง 33% หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ภายในปี 2030
การใช้ EV ภายในประเทศยังเติบโตขึ้นอย่างมาก โดย BloombergNEF ระบุว่า ยอดขายรถในจีนเป็น EV ถึง 33% และประเมินว่าสัดส่วนดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นไปที่ 67% ภายในปี 2030 ซึ่งในปัจจุบันยอดขาย EV ภายในประเทศยังมาจากแบรนด์ของจีนเองมากกว่า 80%
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ยังไม่สามารถชดเชยปัญหาเศรษฐกิจจีนในระยะสั้นได้ เนื่องจากยอดขาย EV ทั่วโลกของผู้ผลิตจีนยังคิดเป็นสัดส่วนแค่ 0.6% ของ GDP และแม้จะมีการประเมินว่ากลุ่มธุรกิจนี้จะเติบโตเป็น 3 เท่าภายในปี 2028 แต่สัดส่วนใน GDP ยังคงต่ำกว่า 2% ซึ่งไม่พอที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับแรงขับเคลื่อนหลักอื่นๆ เช่น กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่คิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของ GDP หรือ เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีสัดส่วนประมาณ 40%
โอกาสของนักลงทุนระยะยาว
'ยศกร' มองว่า ในแง่การลงทุน ราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับสมเหตุสมผล โดยค่า P/E ล่วงหน้า ของดัชนี MSCI China ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ประมาณ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 12.5 เท่า และต่ำกว่าดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งอยู่ที่ 13.6 เท่า
ในระยะยาว มองว่าการกระจายการลงทุนไปที่จีนยังสมเหตุสมผล โดยลงทุนในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับสัดส่วนระหว่างมูลค่าตลาดหุ้นจีนกับตลาดหุ้นโลก
ซึ่งพอร์ต General Investing ของ StashAway ที่บริหารโดยเทคโนโลยีการลงทุน ERAA™ ได้จัดสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างหุ้นจีนและหุ้นทั่วโลกไว้แล้ว โดยลงทุนในจีนผ่าน ETF ดัชนีตลาดเกิดใหม่และดัชนีตลาดโลกโดยรวม
'ยศกร' ชี้ว่า จากข้อมูลทั้งหมด แม้จีนกำลังเผชิญวัฏจักรเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งกำลังสร้างแรงกดดันต่อผลกำไรของบริษัทจีนในระยะสั้น แต่เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจีนกำลังล่มสลายนั้นดูเหมือนจะเกินความเป็นจริงไปมาก
หรืออาจสรุปได้ว่า การยึดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจแทนพาดหัวข่าวทั่วไป จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพที่ชัดเจนกว่าและตัดสินใจได้แม่นยำกว่า เพื่อให้สามารถลงทุนระยะยาวได้อย่างสบายใจ