ทำไมนักลงทุนควรมี ‘อินเดีย’ ในพอร์ต
เศรษฐกิจที่กำลังเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนไม่ควรมองข้าม คือ อินเดีย โดยเป็น 1 ในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก วัดได้จากตัวเลข GDP ปี 2023 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.9% YoY ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิก G20
เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดหุ้นเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี MSCI India Index สามารถทำผลตอบแทน YTD ได้ถึง 7.4% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และยังสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
StashAway จึงอยากพานักลงทุนเจาะลึกแง่บวกและลบของเศรษฐกิจอินเดีย ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดในระยะข้างหน้า แต่เศรษฐกิจอินเดียยังมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนและมีศักยภาพที่จะขยายตัวเร็วขึ้นอีกในอนาคต
โครงสร้างประชากร คือ แรงขับเคลื่อนหลักของอินเดีย
โครงสร้างประชากรจะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียเนื่องจาก
● อินเดียมีประชากรจำนวนมหาศาลและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยอินเดียได้แซงจีนกลายเป็นชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และ UN ยังคาดว่าประชากรอินเดียจะขยายตัวต่อเนื่องจนถึงกลางทศวรรษ 2060
● ประชากรอินเดียในวัยหนุ่มสาวมีจำนวนมากกว่า 2 ใน 3 ของวัยทำงาน โดยมีค่า Median ของอายุอยู่ที่ 28 ปี (ค่า Median ของสหรัฐ 38 ปี และจีน 39 ปี)
โครงสร้างประชากรนี้ไม่เพียงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของธุรกิจบริการและภาคการผลิตที่กำลังเติบโตเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นว่าการบริโภคภายในประเทศจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า โดยภายในปี 2030 ครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นกลาง-บนของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอีก 75 ล้านครัวเรือน และ 25 ล้านครัวเรือนตามลำดับ ซึ่งจะเพิ่มการใช้จ่ายมากถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบเท่ากับ GDP ของฝรั่งเศส
เม็ดเงินลงทุนในอดีตที่น้อยเกินไปเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต
ประชากรวัยทำงานจำนวนมากที่กำลังขยายตัวจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การที่เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จำเป็นต้องมีตำแหน่งงานที่ดีให้เพียงพอกับความต้องการด้วย โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เงินลงทุนมหาศาลคือปัจจัยสำคัญในการสร้างตำแหน่งงานที่มีคุณภาพ ซึ่งอินเดียเผชิญความท้าทายนี้มาโดยตลอด
ข่าวดีก็คือ ปัจจัยดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะรัฐบาลอินเดียได้เริ่มปฏิรูประบบเศรษฐกิจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงการขยายฐานภาษี ฟื้นฟูภาคการผลิต ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งกระแสนิยมที่ดีของรัฐบาลปัจจุบันจะทำให้นโยบายต่างๆ ยังดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้นี้
แต่เงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนกำลังขยับขึ้นแล้ว
การลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงนโยบายส่งเสริมของภาครัฐได้ช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศมายังภาคการผลิตของอินเดียได้ เช่น แผน Production Linked Incentive (PLI) ซึ่งสามารถดึงยักษ์ใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Foxconn ที่มีแผนทุ่มเงินกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างโรงงานผลิตในอินเดีย
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นประโยชน์กับอินเดีย เพราะยังมีบางบริษัทที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่ค่อนข้างตึงเครียดระหว่างชาติตะวันตกกับจีน
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลอินเดียยังเพิ่มเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปีงบประมาณ 2023-24 มากเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้นตามไปด้วย
โอกาสของอินเดียในระยะยาว
การเติบโตของผู้บริโภคจำนวนมหาศาล นโยบายที่เป็นมิตรต่อการทำธุรกิจมากขึ้น (โดยเฉพาะสำหรับภาคการผลิต) รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจโดยรวมที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ปัจจัยทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจอินเดียกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
จากข้อมูลดังกล่าว เศรษฐกิจอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นตามไปด้วย อินเดียจึงเป็นอีกประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้ พอร์ต General Investing ของเรามีการกระจายการลงทุนใปยังตลาดหุ้นอินเดียในสัดส่วนที่เหมาะสม (Market-weighted) ผ่าน ETF ที่ลงทุนในกลุ่ม EM และตลาดโลกโดยรวมไว้แล้ว นอกจากนี้ Flexible Portfolio ของเรายังเพิ่ม ETF ที่ลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย เพื่อให้นักลงทุนที่สนใจตลาดอินเดียสามารถเลือกลงทุนและออกแบบสัดส่วนได้เองตามที่ต้องการ
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต