“สองการเลือกตั้งที่อาจเปลี่ยนโลก : ไต้หวันกับสหรัฐ”
จับตามองมากที่สุดคือ ต้นปีและท้ายปี ไต้หวันวันที่ 13 มกราคม และสหรัฐอเมริกาวันที่ 5 พฤศจิกายนผลการเลือกตั้งทั้งสองนี้จะกระทบต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกมากที่สุด
สวัสดีปีใหม่ครับค.ศ. 2024 อาจจะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้ง
ปีที่แล้วไทยมีการเลือกตั้งซึ่งเกือบกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ แต่ในที่สุดเราสรุปได้มาเป็นรัฐบาลแบบประนีประนอมประชาธิปไตยผสมอนุรักษ์นิยม ส่วนประชาธิปไตยเต็มใบแนวเสรีนิยมของคนรุ่นใหม่ก็ต้องรอไปก่อน
ปีนี้ทั่วโลกเตรียมติดตามการเลือกตั้งใหญ่ในกว่า 64 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมประชากรโลกกว่า 49%
ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งในปีนี้จะเกิดขึ้นในอีกหลายประเทศใหญ่ เช่น อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ปากีสถานและเม็กซิโก เป็นต้น แต่ในความเห็นของผมแล้ว การเลือกตั้งที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ ต้นปีและท้ายปี ไต้หวันวันที่ 13 มกราคม และสหรัฐอเมริกาวันที่ 5 พฤศจิกายนผลการเลือกตั้งทั้งสองนี้จะกระทบต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกมากที่สุด
ทำไมการเลือกตั้งในไต้หวันจึงสำคัญ
การเลือกตั้งในไต้หวันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก สหรัฐอเมริกาและจีนจับตามองอย่างใกล้ชิด และอาจมีการปฏิบัติการซับซ้อนหลายอย่างที่คล้ายกับเป็นการแทรกแซงการเลือกตั้งในไต้หวัน เนื่องจากผลการเลือกตั้งในไต้หวันครั้งนี้มีผลประโยชน์โดยตรงต่อสองมหาอำนาจ
ขณะนี้พรรคการเมืองDemocratic Progressive Party (DPP)ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี คือรองประธานาธิบดีของรัฐบาลชุดปัจจุบันนายLai Ching-te มีคะแนนเสียงนำอยู่ประมาณ 5%หากชนะการเลือกตั้งก็หมายถึงนโยบายปัจจุบันของไต้หวันจะสืบต่อไปอีก ซึ่งเป็นแนวทางที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอยากจะให้เกิดขึ้น โลกมีอเมริกาและประเทศตะวันตกเป็นผู้นำคล้ายปัจจุบัน จีนถูกชะลออิทธิพลต่อไป
แต่หากเกิดพลิกผันโดยคู่แข่งคือ นาย Hou Yu-ih จากพรรค Kuomintang (KMT)ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่ามีนโยบายและท่าทีประนีประนอมกับจีนและเป็นพรรคการเมืองที่จีนอยากให้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้หากทีมนี้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ เศรษฐกิจและการเมืองความมั่นคงโลกจะเปลี่ยนแนวทางให้จีนเพิ่มบทบาทท้าทายสหรัฐทันที
วงการเทคโนโลยีชั้นสูงทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาที่พึ่งพาอาศัยไมโครชิพระดับสูงจากไต้หวัน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตป้อนตลาดโลกถึง 92% (ขณะที่ 8% มาจากเกาหลีใต้) ตลาดหุ้น NASDAQ อาจจะถูกฉุดลงในครึ่งหลังของเดือนมกราคม นักลงทุนจะวิตกว่าไต้หวันจะถูกครอบงำโดยจีน และไม่สามารถจะป้อนความต้องการเรื่องไมโครชิพได้อีกต่อไป
การมีรัฐบาลไต้หวันที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนจะทำให้เกิดการเร่งวิวัฒนาการของจีนเพื่อเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่องปัญญาประดิษฐ์และการทหารจะถูกเร่งพัฒนา โดยที่นโยบายกีดกันของสหรัฐจะไม่ได้ผลอีกต่อไป
ความสมดุลย์เรื่องความมั่นคงในทะเลจีนใต้จะเปลี่ยนไป ประเทศในอาเซียนทั้งหมดอาจจำเป็นต้องปรับนโยบายต่างประเทศจะเห็นการเร่งด่วนของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกเข้ามาเพิ่มบทบาทและทุ่มทรัพยากรในอาเซียนเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีนทันที
อาจเห็นปฏิบัติการแนวชายแดนระหว่างจีน เมียนมา ลาวและไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นเขตยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาเกี่ยวโยงกับภูมิภาคทะเลเบงกอล และนโยบายที่สหรัฐฯพยายามสนับสนุนให้อินเดียเพิ่มบทบาทเป็นผู้นำในเศรษฐกิจและการเมืองโลก เช่น การเป็นฐานผลิตสินค้าและบริการเทคโนโลยี เป็นต้น
การเลือกตั้งในสหรัฐสำคัญอย่างไร
การเลือกตั้งในสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถึงแม้ว่ายังมีเวลาอีกหลายเดือน และอาจมีปัจจัยหลายอย่างที่จะเปลี่ยนทิศทางพลิกกลับไปกลับมาได้ (ขณะนี้ยังไม่สรุปว่าใครคือผู้แทนของพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคที่จะเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี) แต่การสำรวจประชามติจากหลายสถาบันสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ที่ต้องการเห็นความมั่นคงของเศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐเนื่องจากไม่แน่ใจว่าประธานาธิบดี Biden คนปัจจุบันจะสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะดีขึ้นมากและการควบคุมโควิดทำได้ตามสัญญาไว้แต่บรรยากาศการเมืองภายในสหรัฐอเมริกามีความเปราะบางการหาเสียงในปีนี้คาดว่าจะดุเดือดรุนแรงมากความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างกันมาก มีความสับสนในการรับข่าวสารและความเสี่ยงต่อการแทรกแซงการเลือกตั้งจากต่างประเทศ
อดีตประธานาธิบดี Trump ที่หลายสถาบันคาดว่ามีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น ได้ประกาศว่าการหากได้กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้ง จะล้างบางทั้งระบบ กลายเป็นการแก้แค้นทางการเมืองต่อผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และจะนำมาสู่การผลักดันนโยบายสุดโต่งหลายอย่าง ขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญและประเพณีปฏิบัติ ที่สหรัฐอเมริกาทำมาเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ
มืออาชีพการเมืองของสหรัฐหลายกลุ่มกังวลว่า อดีตประธานาธิบดี Trump คืนสู่ตำแหน่งหมายถึงความรุนแรงและความแตกแยกระหว่างประชาชน สะเทือนถึงความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยและความยั่งยืนของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา และจะส่งผลกระทบให้กับการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างแน่นอน เช่น นโยบายการต่างประเทศ ข้อตกลงทางเศรษฐกิจ การทหาร สนธิสัญญานาโต้จะถูกเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับประชาคมยุโรปจะเห็นได้ชัด และจะส่งผลให้การสนับสนุนยูเครนถูกตัดขาดลง ซึ่งหมายถึงรัสเซียจะชนะสงคราม และความสมดุลย์ของอิทธิพลเศรษฐกิจและความมั่นคงในยุโรปจะเปลี่ยนทันที
หากสหรัฐอเมริกาเกิดความแตกแยกและอ่อนแอทางการทหาร ก็จะนำมาสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ต่อระเบียบโลกปัจจุบัน ซึ่งสหรัฐอเมริกาเปรียบเสมือนเป็นผู้รักษาความมั่นคงของโลกโดยใช้กำลังทหารควบคู่ไปกับระบบการเงินการธนาคารและองค์การระหว่างประเทศต่างๆ
ระบบการเงินการธนาคารจะเปลี่ยนแปลง เงินอเมริกันดอลล่าร์จะถูกลดฐานะการยอมรับและความเชื่อถือ โดยธนาคารแห่งชาติต่างๆทั่วโลกซึ่งอยู่ในอัตรากว่า 60% ในปัจจุบัน และจะมีการนำวิธีการอื่นเข้ามาเป็นทางเลือกแทน โดยอาจมีจีนหรือกลุ่มประเทศเป็นแกนนำใหม่ เพิ่มปริมาณกับการยอมรับ มาแข่งขันกับระบบปัจจุบัน
ความเชื่อมั่นในการลงทุนผ่านตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดในโลกคือสหรัฐอเมริกานั้นก็จะถูกเปลี่ยน โดยลดปริมาณลง และจะหันเหการลงทุนไปสู่ส่วนอื่นของโลก เช่น ในยุโรปและเอเชีย และอาจมีประปรายในตะวันออกกลางหรือตลาดหุ้นย่อยต่างๆ
จับตามองทุกการเลือกตั้งในทุกประเทศแห่งปีประวัติศาสตร์ ค.ศ. 2024 นี้ โดยเฉพาะต้นปีในไต้หวันและท้ายปีในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม เราปรับตัวให้ได้กับทุกสถานการณ์ เราควบคุมผลการเลือกตั้งไม่ได้แต่สิ่งที่เราทำได้คือให้ความสำคัญกับสุขภาพ กาย ใจและจิต ของเราและคนใกล้ชิด พร้อมรับพลังงานบวกตลอดปีนี้
ผู้ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด แต่เป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุดครับ