นักเศรษฐศาสตร์ หวั่นระยะยาวไทยเผชิญ ‘วิกฤติ‘ เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
นักเศรษฐศาสตร์ เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ก่อนลามเกิดวิกฤติ “อมรเทพ” ชี้ส่วนต่างดอกเบี้ยทำตลาดเงินผันผวน “พิพัฒน์” ชี้เศรษฐกิจระยะสั้นไม่ห่วงเท่าระยะยาว “พชรพจน์” ชี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นเท่าก่อนโควิด “กิริฏา” ห่วงไทยความสามารถถดถอย ฉุดเศรษฐกิจไทยระยะยาว
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า หากถามว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤติหรือไม่ ยอมรับว่าวิกฤติในบางส่วน ภาคเกษตร ครัวเรือนมีปัญหา แต่หลายส่วนยังเติบโต ดังนั้นเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 3.1% หากไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากรวมจะขยายตัวเพิ่ม 0.5% ขณะที่ปี 2566 จะขยายตัว 2% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.4%
สำหรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยมาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสงครามระหว่างที่อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ดังนั้นชะล่าใจไม่ได้เพราะหากมีปัญหาซัพพลายเชนจะทำการลดดอกเบี้ยของหลายประเทศทำได้ช้ากว่าคาด รวมถึงไทย
ทั้งนี้ หากดูอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ที่ 5% ขณะที่ดอกเบี้ยไทย 2.5% พบว่าส่วนต่างดอกเบี้ยค่อนข้างมากอาจเป็นปัจจัยเร่งให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนมากขึ้น รวมถึงเงินทุนไหลออกโดยเฉพาะ หากตลาดคาดการณ์ว่า ว่าเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด อาจทำให้นักลงทุนหันไปถือดอลลาร์มากขึ้น ที่อาจทำให้ความผันผวนในตลาดเงินเพิ่มขึ้น
ส่วนดอกเบี้ยไทยมีโอกาสลดลงได้แต่อาจเห็นหลังจากสหรัฐลดดอกเบี้ยแล้ว ส่วนการเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่ามีโอกาสเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นในครึ่งหลังปีมาอยู่ที่ 34-35บาทต่อดอลลาร์ เพราะเงินไหลเข้าจากรายได้ท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
‘เคเคพี’ ระยะยาวเศรษฐกิจไทย ‘น่าห่วง’
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยไทยผ่านจุดพีคไปแล้ว และทิศทางมีแนวปรับลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะครึ่งปีหลังตามการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยจะพิจารณาดอกเบี้ยมี 3 ปัจจัยหลักที่ กนง.จะพิจารณา คือ การฟื้นตัวเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและเสถียรภาพระบบการเงิน
ทั้งนี้ หากมีการแจกดิจิทัลวอลเล็ตจะส่งผลให้ดีมานด์ในประเทศกลับมาขยายตัวมากขึ้น อาจทำให้ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยลงได้
สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะอยู่ที่ 2.9% แต่ถ้ามีดิจิทัลวอลเล็ตจะขยายตัวได้อีก 0.8% โดยหากถามว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้เข้าสู่วิกฤติหรือไม่ วันนี้กลายเป็นประเด็นทางกฎหมายและการเมือง แต่ระยะยาวเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเพราะหากไม่ทำอะไร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ความสามารถการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยจะต่ำลงต่อเนื่องและเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่วิกฤติแน่นอน
“สิ่งสำคัญต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องนำกลับมาพูดคุยอย่างจริงจังมากขึ้น ไม่งั้นเราจะเข้าสู่วิกฤติจริงๆแน่นอน วันนี้เศรษฐกิจไทยเหมือนเผชิญวิกฤติต้มกบ วันนี้เราไม่รู้สึกร้อน และเราจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ”
นอกจากนี้ เป็นประเด็นที่กังวลคือ ประเด็นระยะยาวจากความสามารถการแข่งขันของไทยที่ลดลงต่อเนื่อง จากการเข้ามาแข่งของหลายประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเทียบกับจีนที่ปัจจุบันเริ่มเห็นจีนมาแข่งขันกับธุรกิจไทยมากขึ้น และไทยขาดดุลการค้ากับจีนค่อนข้างมาก
สิ่งที่กังวล คือภาคการคลังที่น่ากังวลมากขึ้น จากการเบิกจ่ายของภาครัฐที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ส่งผลให้ไตรมาส การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐติดลบกว่า 40% และผลกระทบเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปอีกหนึ่งไตรมาส คือไตรมาส 1 ปีนี้้ จนถึงสิ้น มี.ค.ที่จะเริ่มเห็นการเบิกจ่ายงบภาครัฐได้ ดังนั้นเหล่านี้ถือเป็นอีกความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน
‘กรุงไทย’ ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวบางส่วน
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การมองภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน กรุงไทยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 3% และหากมีดิจิทัลวอลเล็ตคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มอีก 1-1.5% ขณะที่ ปีก่อนคาดว่าจะออกมาขยายตัวได้ราว 1.8-2% โดยเศรษฐกิจไทยวันนี้อยู่ภายใต้ K shaped economy ท่องเที่ยวดีขึ้น แต่ยังห่างไกลพอสมควรกับอดีต และเคเชฟขาล่างยังไม่กลับมาฟื้นตัวเต็มที่
หากดูภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่หลายภาคส่วนยังไม่กลับมาสู่ระดับปกติ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวของไทย ที่ปัจจุบันกลับมาเพียง 70% เท่านั้นหากเทียบกับก่อนโควิด-19 โดยประเทศที่ฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวช้า ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่พึ่งพาจีนค่อนข้างมาก เช่นเดียวกันไทย โดยปีก่อนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา 3.5 ล้านคน ขณะที่ปีนี้คาดเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 7 ล้านคน
ดังนั้น แม้นักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 32-33 ล้านคน และคาดปี 68 เพิ่มมาเป็น 38 ล้านคน ก็ยังห่างไกลกับก่อนโควิด ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าท่องเที่ยวจะสามารถกลับมาฟื้นตัวเหมือนก่อนโควิดได้
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจโลก คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 1% และเศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ระดับ 3% ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ดังนั้น ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะทำให้โอกาสเห็นเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นยากพอสมควร จากการที่รัฐบาลทุกประเทศเริ่มเข้าสู่การรัดเข็มขัด รวมถึงของประเทศไทยเช่นเดียวกัน ดังนั้น เหล่านี้อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเข้าสู่ขาลงได้
‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากตปท.
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนาและผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 3% โดยปัจจัยเสี่ยงหลักมองที่ปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น
ส่วนเศรษฐกิจไทยภาพรวมถือว่าฟื้นตัวได้ ดังนั้น ระยะสั้นไม่น่าห่วง เท่ากับปัญหาในระยะยาว เพราะหากเศรษฐกิจไทยไม่ปรับปรุงขีดความสามารถเพิ่มขึ้นจะทยอยสูญเสียความสามารถลดลง หากเทียบกับประเทศอื่นๆ และเศรษฐกิจไทยยังอยู่ภายใต้การเมืองโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและภายใต้สังคมสูงวัย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้รวดเร็วขึ้น