ญี่ปุ่นเทเงินเข้าตลาดหุ้นอินเดีย 1.6 พันล้านดอลล์ หลังเศรษฐกิจโตแรงแซงจีน
นักลงทุนรายย่อยญี่ปุ่นเทเงินเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น 11% มากถึง 1.6 พันล้านดอลล์ หลังเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งแซงหน้าจีน ส่วนหนึ่งก็มาจากนโยบายกระตุ้นการลงทุนของญี่ปุ่น ภายหลังการเปิดตัวบัญชีการลงทุนปลอดภาษี (NISA)ที่เริ่มต้นในปีนี้
keypoint:
- อินเดียเรียกความสนใจจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่น เทเงินทุนเพิ่มขึ้น11%
- หลังจากที่จีนได้รับผลกระทบจากภาวะเงินฝืด และฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ระเบิด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ขณะนี้นักลงทุนรายย่อยในประเทศญี่ปุ่นกําลังเทเงินทุนเข้าหุ้นอินเดีย ท่ามกลางกระแสการเดิมพันว่าจะกลายเป็นที่ผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างจีนได้หรือไม่
โดยมูลค่าสินทรัพย์รวมของทรัสต์เพื่อการลงทุนในหุ้นอินเดียของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 11% มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 237 พันล้านเยน หรือราวๆ 1.6 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคม รวมทั้งยังมีเม็ดเงินจากญี่ปุ่นไหลเข้าตลาดตราสารทุนของอินเดียประมาณ 140,000 พันล้านเยน ในขณะที่กองทุนหุ้นญี่ปุ่นแทบไม่มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้า
ตลาดหุ้นอินเดียแสดงศักยภาพของการเป็นตลาดเกิดใหม่ ด้วยการเรียกความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากตลาดเศรษฐกิจอื่นๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากนโยบายกระตุ้นการลงทุนของญี่ปุ่น ภายหลังการเปิดตัวบัญชีการลงทุนปลอดภาษี (NISA) ที่เริ่มต้นในปีนี้
ไอเกะ อาโอกิ(Daiju Aoki) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนระดับภูมิภาคของ UBS SuMi Trust Wealth Management Co. ในโตเกียว กล่าวว่า
“หุ้นอินเดียกําลังดึงดูดความสนใจในการเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ในฐานะประเทศจีนต่อไป ซึ่งความสนใจของนักลงทุนมุ่งเป้าไปที่การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียโดยรวม มากกว่าการเติบโตของแต่ละบริษัทในอินเดีย
ในขณะเดียวกัน หุ้นจีนมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากทั้งนักลงทุนรายใหญ่ และรายย่อยลดลงมากที่สุดในบรรดา 14 ตลาดเกิดใหม่
การเปลี่ยนทิศทางจากญี่ปุ่น ผู้ที่ขึ้นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้ เกิดขึ้นในขณะที่จีนต่อสู้กับวิกฤติฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่ล่มสลาย และภาวะเงินฝืด
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย เมื่อเทียบเป็นรายปีเฉลี่ยแล้วจะเติบโตมากกว่า 6% อย่างน้อยจนถึงไตรมาสที่สองของปี 2568 ในขณะที่จีนคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงต่ำกว่า 5%
จากข้อมูลสนับสนุนด้วยตัวเลขประชากรในอินเดียที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 17% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับจีนที่คาดว่าจะลดลง 7.9% ตามรายงานจากสหประชาชาติ
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์