จัดพอร์ตลงทุนปี 2567
จัดพอร์ตลงทุนปี 2567 ในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนสูงเช่นในปัจจุบัน แนะนำให้เทรด โดยเฉพาะส่วนที่ลงทุนในหุ้นและทองคำ คือแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้ขายทำกำไร เมื่อมีกำไรถึงจุดหนึ่ง และกลับมาลงทุนใหม่เมื่อราคาปรับตัวลง
ปี 2567 เป็นปีที่เศรษฐกิจของโลกโดยรวมจะดูดีกว่าปีที่ผ่านๆมาเล็กน้อย จึงเป็นความหวังที่ดีขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวังอยู่
ในปีนี้ ดิฉันแนะนำให้ลงทุนในตลาดเงินน้อยลง โดยย้ายไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวขึ้น เพื่อได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพราะตลาดพันธบัตรน่าลงทุนมากขึ้น เนื่องจาก ความเสี่ยงที่จะเกิดจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยน้อยมาก (Interest Rate Risk ต่ำ) ดังนั้นผู้ลงทุนจึงไม่ต้องกลัวว่ามูลค่าการลงทุนจะลดลง แต่ต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้ (Credit Risk)
ในปีนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากัน จึงต้องจัดสรรการลงทุนไปยังที่ที่มีโอกาส และความผันผวนจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนและจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างประเทศหลักๆ และจับตาดูหวังว่าสงครามในตะวันออกกลางจะไม่ขยายวง
ปีนี้ยังเป็นปีที่มีการเลือกตั้งมากถึง 60 กว่าประเทศในโลก จึงต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย โดยเฉพาะประเทศใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน เม็กซิโก เป็นต้น แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุนจากที่แนะนำเมื่อกลางปีที่แล้วเล็กน้อย โดยเพิ่มหุ้นไทย เพราะราคาได้ปรับลดลงไปและหลายหุ้นเริ่มน่าสนใจ แต่ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทยค่ะ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ยังคงเป็นตัวนำ หากไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอย่างไร แนะนำกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนดัชนีแนสแดค ที่มีการจ่ายเงินปันผล เพราะส่วนใหญ่การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเป็นการลงทุนระยะยาว มักจะไม่ได้ผลตอบแทนมาชื่นชมในระยะสั้นๆ แต่การลงทุนในกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผล ทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องดูจังหวะขายทำกำไรเป็นระยะๆ เป็นการทำให้แน่ใจว่าเราได้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนขาขึ้น ซึ่งเหมาะสมกับโลกการลงทุนในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง
หุ้นต่างประเทศที่ชอบ นอกจากเทคโนโลยีแล้ว ก็มีกลุ่มสุขภาพและความอยู่ดีมีสุข (Health & Wellness) ส่วนภูมิภาคที่ลงทุน อย่างไรก็ยังคงต้องลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา แม้เศรษฐกิจจะลดความร้อนแรงลง แต่ก็ยังแรงอยู่เมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลก หากต้องการลงทุนเพื่อมีส่วนในการเติบโตของเศรษฐกิจต้องลงทุนหุ้นอินเดียค่ะ แม้ราคาจะไม่ค่อยถูกเมื่อเปรียบเทียบโดยพีอี เพราะขึ้นมามากแล้ว (หนึ่งปีย้อนหลังขึ้นประมาณ 25%) แต่เมื่อมีโอกาสในการเติบโตสูง ค่าพีอีจะลดลงเมื่อกำไรของบริษัทต่างๆสูงขึ้น อีกประเทศหนึ่งที่ยังชอบอยู่แม้ว่าปีที่แล้วจะปรับตัวเพิ่มไป 28% แล้ว ก็คือญี่ปุ่น ราคาหุ้นยังไม่แพงค่ะ
สำหรับหุ้นไทย เลือกธุรกิจที่ปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่ กลุ่มเทคโนโลยี สุขภาพ อาหารและเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมและบริการที่ขยายไปยังภูมิภาคและโลก เพราะประเทศไทยใหญ่ไม่พอศักยภาพของนักธุรกิจไทยค่ะ
สำหรับทองคำ แนะนำให้ติดพอร์ตเอาไว้อยู่นิดหน่อยนะคะ สถานการณ์ที่โลกยังไม่สงบ การมีสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยไว้มีโอกาสทำผลตอบแทนที่ดี
เงินดอลลาร์อาจจะไม่อ่อนค่าไปตามที่นักวิเคราะห์หลายๆคนคาดไว้ เพราะดอลลาร์ก็เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหลักประเภทหนึ่ง แม้มีโอกาสอ่อนค่าลง แต่จะยังได้รับความนิยมโดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ
ทั้งนี้ดิฉันยังมองว่าในปีนี้ ค่าเงินบาทอาจจะทรงอยู่ในระดับอ่อนค่าใกล้ระดับปัจจุบัน (35-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) สำหรับราคาน้ำมัน ก็จะคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะความตึงเครียดในทะเลแดง และต้นทุนการขนส่งยังเพิ่มขึ้นจากการที่เรือขนส่งสินค้าแล่นอ้อมแหลมกู๊ดโฮป แทนการผ่านคลองซุเอซ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของโลกจะไม่ลดลงไปมากนัก
อสังหาริมทรัพย์มีความน่าสนใจปานกลาง จากราคาที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในไทย เมื่อเกิดความไม่สงบในภูมิภาคอื่นๆของโลก อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยตลาดบนน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่า จากการซื้อของต่างชาติ การปรับทำงานแบบ work from anywhere รวมถึงการซื้อของออนไลน์ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะกดดันราคาค่าเช่าทั้งออฟฟิศและ พื้นที่ค้าปลีก ทำให้ไม่อาจปรับขึ้นค่าเช่าตามสภาวะเงินเฟ้อได้มากนัก
ในพอร์ตที่แนะนำสำหรับผู้ลงทุนที่อนุรักษนิยม แนะนำให้จัดสรรลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพสูง 60% ของพอร์ต อยู่ในหุ้น 18% โดยเป็นหุ้นไทยและต่างประเทศอย่างละ 9% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อรับค่าเช่า 10% ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือฝากเงิน 10% และลงทุนในทองคำหรือกองทุนทองคำ 2% พอร์ตนี้มีผลตอบแทนที่คาดหวัง 4.93% มีค่าความเสี่ยง 5.98% และผลตอบแทนต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยง 0.8244
ส่วนพอร์ตอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันไปนะคะ โดยพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูงและสูงมาก อาจมีการลงทุนในโภคภัณฑ์บ้างเล็กน้อย สำหรับพอร์ตอื่นยังไม่แนะนำค่ะ และจะเห็นว่า ดิฉันไม่แนะนำถือเงินสดเลยสำหรับพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก แต่หากรู้สึกว่าไม่คล่องตัว อาจจะจัดสรรให้มีเงินสดสัก 5% โดยเจียดไปจากส่วนที่ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้ค่ะ
ผลตอบแทนที่คาดหวังสำหรับพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ก็จะไล่เรียงไปตั้งแต่ 5.51%, 6.32%, 7.06% ไปจนถึง 7.79% สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ได้เพิ่ม ได้สูง และได้สูงมาก
การลงทุนในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนสูงเช่นในปัจจุบัน ดิฉันแนะนำให้เทรด โดยเฉพาะส่วนที่ลงทุนในหุ้นและทองคำ คือแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้ขายทำกำไร เมื่อมีกำไรถึงจุดหนึ่ง และกลับมาลงทุนใหม่เมื่อราคาปรับตัวลง ถ้าไม่ปรับลงและเห็นว่ายังไปได้อยู่ก็กลับเข้าไปซื้อใหม่ค่ะ หรือถ้าแพงแล้วก็ไม่ต้องกลับเข้าไป เพราะยังมีส่วนอื่นที่ถือลงทุนอยู่
อย่างที่เคยเตือนทุกครั้งค่ะ การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และพอร์ตการลงทุนต้องจัดแบบพอดีๆ ผสมผสาน ทั้งนี้ทั้งนั้น “กล้าเกินไปก็เสี่ยง กลัวเกินไปก็เสียโอกาส”