บุกภูเก็ต ลุยขบวนการฟอกเงิน 186 ล้าน ค้น 17 บริษัท ทำเอกสารเท็จนอมินีรัสเซีย
กองปราบสนธิกำลังตำรวจ บุกภูเก็ต ลุยขบวนการฟอกเงิน 186 ล้าน ค้น 17 บริษัท ทำเอกสารเท็จนอมินีรัสเซีย
กรณีบริษัทนอมินีรัสเซีย รับทำเอกสารเท็จ ให้ชาวรัสเซียในพื้นที่ภูเก็ต คาดเอี่ยวขบวนการฟอกเงิน ล่าสุด ตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) หรือ กองปราบ ได้ร่วมกันตรวจค้น ที่ตั้งของบริษัททต้องสงสัยซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของคนต่างชาติ ในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต จำนวน 8 จุด รวม 17 บริษัท
แอบอ้างการไฟฟ้าหลอกดูดเงินเอี่ยวคนรัสเซีย
สืบเนื่องจาก ก่อนหน้าที่ได้มีคนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับควบคุมโทรศัพท์ จากนั้นได้ดูดเงินจากบัญชีของผู้เสียหายโอนไปยังบัญชีของคนร้ายรวมกว่า 5 แสนบาท
พบว่าคนร้ายได้โอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัยชายชาวรัสเซียคนหนึ่ง ก่อนจะพบว่าชายชาวรัสเซียดังกล่าวได้ทำรายการถอนเงินสดออกจากบัญชีผ่านธนาคารในพื้นที่ภูเก็ตในเวลาต่อเนื่องกัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้รับมอบหมายจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของคนร้าย
พบว่าการทำธุรกรรมของชายชาวรัสเซียคนดังกล่าวพบว่า มีพฤติการณ์รับโอนเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี จากกระเป๋าดิจิตอลที่ไม่มีการยืนยันตัวตน (non-custodial wallet) จากนั้นจะมีการขายเหรียญจำนวนมาก ก่อนจะนำเงินเข้าบัญชีธนาคารในประเทศไทยของตน และถอนเงินที่ได้ออกเป็นเงินสดโดยทันที
ในช่วงระหว่างวันที่ 7 ก.ค. 66 จนถึง 19 พ.ย. 66 พบว่าชายชาวรัสเซียคนดังกล่าว
ได้มีการถอนเงินสดผ่านเคาท์เตอร์ธนาคาร และตู้ ATM จากบัญชีธนาคาร จำนวน 3 บัญชี รวมเป็นเงินประมาณ 186 ล้านบาท อย่างผิดปกติ
เชื่อได้ว่าเป็นรูปแบบการฟอกเงินอย่างหนึ่ง จากตรวจสอบหลักฐานการเปิดบัญชีพบว่า ชายชาวรัสเซียคนดังกล่าว ได้แสดงหลักฐานใบอนุญาตทำงานยืนยันว่าเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ภูเก็ต
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. สั่งการให้ พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ มีมุสิก สว.กก.5 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.5 บก.ป. ดำเนินการ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้ลงพื้นที่ทำการตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าว ไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง น่าเชื่อว่าได้จดทะเบียนขึ้นมาเพื่อใช้ในการสร้างเอกสารเท็จเพื่อขอใบอนุญาตทำงาน และขออนุญาตอยู่ในต่อในราชการอาณาจักรเป็นการชั่วคราว (VISA) ให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าบริษัทดังกล่าวมีกรรมการ และผู้ถือหุ้นเป็นผู้หญิงไทย จำนวน 2 คน และหญิงชาวรัสเซีย จำนวน 1 คน และกลุ่มบุคคลดังกล่าวยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการ ของบริษัทอื่นอีกรวมทั้งสิ้น 38 บริษัท เชื่อว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด 2 ลักษณะ ได้แก่
1.แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
2.ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวอันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้าง หุ้นส่วนหรือบริษัทจํากัด หรือนิติบุคคลใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย (นอมินี)
หลังจากเจ้าหน้าที่ฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาขอออกหมายค้น เพื่อเข้าตรวจค้นพบที่ตั้งของบริษัทต้องสงสัย จำนวน 8 จุด รวม 17 บริษัท
ผลการตรวจค้นพบ ผู้หญิงชาวไทย จำนวน 2 คน รับว่า
- จัดตั้งบริษัทรับจ้างจดทะเบียนบริษัท,
- รับดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน,
- ดำเนินการขอ VISA ให้กับชาวต่างชาติ
- ยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติ โดยมีการจัดตั้งบริษัทที่ไม่ได้มีการดำเนินกิจการจริงขึ้นมา เพื่อใช้ในการสร้างเอกสารเท็จเพื่อยื่นขออนุญาตต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติจริง
ทั้งนี้ พบว่าบริเวณชั้นสองของอาคารสำนักงานมีการจัดวางอุปกรณ์คล้ายสำนักงานไว้สำหรับจัดฉากเพื่อถ่ายภาพการทำงานเพื่อใช้ในการยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติ จึงได้ตรวจยึด
1.คอมพิวเตอร์สำหรับจัดทำเอกสารเท็จ และจัดเก็บข้อมูลลูกค้าชาวต่างชาติ จำนวน 2 เครื่อง
2.ตราประทับบริษัทต่างๆ กว่า 50 บริษัท
3.เอกสารต่างๆ จำนวนประมาณ 500 แผ่น
ซึ่งจะได้ตรวจสอบรายละเอียดเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการตามกฎหมายกับคนไทยและชาวต่างชาติที่ร่วมกันกระทำความผิด