เปิดทริกเลือกลงทุน หุ้นเทคฯ ‘สหรัฐฯ VS จีน’ ​

เปิดทริกเลือกลงทุน หุ้นเทคฯ ‘สหรัฐฯ VS จีน’ ​

เทรนด์การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยังโดดเด่นติดลมบนจากกระแส AI ที่เข้ามามีบทบาท ยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วโลกให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือหน่วยงานภาครัฐของหลายประเทศต่างขับเคลื่อนยังพัฒนาเทคโนโลยีให้ทรงพลัง เติบโตได้อีกไกลในอนาคต

ทุกวันนี้ นักลงทุนทั่วโลกยังให้น้ำหนักกับการลงทุนหุ้นเทคฯอย่างต่อเนื่อง เมื่อไหร่ที่ หุ้นตกก็มักมีแรงซื้อเข้ามา

ใครที่คิดว่า ตัวเองจะตกขบวนรถไฟ ต้องขอบอกว่า โอกาสการลงทุนหุ้นเทคฯ ที่ทรงอิทธิพลยังรออยู่ 

เกาะติดผลงานหุ้นเทคฯ 7 นางฟ้า ใครได้ไปต่อหรือตกสวรรค์  

ชั่วโมงนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก "หุ้น Magnificent 7"  ที่ทรงอิทธิพลมากสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, META (Facebook), Tesla และ Nvidia

ปีที่แล้ว หุ้น 7 ตัวนี้ ราคาวิ่งปรู้ดปร้าดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นไปกว่า 40% ส่งให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นราว 43% นับเป็นปีที่ดีที่สุดของหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ หลังจากที่ปี 2565 ได้ปรับตัวลดลงมาราว 33%

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 มีมูลค่าตลาดรวมกันกว่า 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลยทีเดียว ขณะที่กำไรสุทธิรวมกันเพิ่มขึ้น 19.3% จากปี 2565 (YoY) โดยทุกบริษัทมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น

ส่วนไตรมาสแรก ปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปิดบวกเพราะหุ้น 7 นางฟ้านี้อีก โดย Bloomberg Magnificent 7 Price Return Index ยังปรับขึ้นกว่า 17% ชนะดัชนี S&P ที่ปรับขึ้น 10% ได้ปัจจัยหนุนจากความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้ ประกอบกับคาดการณ์ผลประกอบการของหลายบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาเติบโตดี

แต่มาสะดุดเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทะ ‘อิหร่าน-อิสราเอล’ กระทบการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่หุ้น Magnificent 7 ที่ไหลลง ตามข่าวแนวโน้มราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น คาดกระทบต่อเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทรงตัวระดับสูงต่อไปอีก ทำให้ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยช้าลง

อีกปัจจัยที่นักลงทุนกำลังโฟกัสกันอยู่ คือ ผลประกอบการไตรมาสแรกของหุ้น 7 นางฟ้าที่ทะยอยออกมาแล้ว ซึ่งบางตัวสร้างความผิดหวังให้นักลงทุน แต่ราคาก็ยังกลับมาวิ่งได้

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์แนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2567 ของ 7 หุ้นนางฟ้า คาดจะอยู่ที่ 397,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 27%จากปี 2566

สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังไปต่ออีกนานแค่ไหน ข้อมูลจาก Globe Newswire ประเมินไว้ว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงโดดเด่นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยคาดว่ามูลค่าตลาดของกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกมีโอกาสขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงปีละ 36.8% จนถึงปี 2575

แต่เวลานี้ ตลาดก็ยังเสียงแตกว่า หุ้น 7 นางฟ้า ครอบงำตลาดหุ้นสหรัฐฯ จนเกิดความกังวลว่า ตลาดสหรัฐฯ จะเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกเหมือนดอทคอม? ขณะที่ก็ยังมีอีกกระแสที่ยังเชื่อว่า อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะยาว  ? 

"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ (  Jitta Wealth ) ให้มุมมองว่า กรณีดังกล่าว เป็นเรื่องที่คาดเดาล่วงหน้าได้ยากเพราะระหว่างทางมักจะมีปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ และที่สำคัญ หุ้นนั้นๆ มีความทนทานต่อสภาวะความผันผวนมากหรือน้อยแค่ไหน

"กฎการลงทุน" ราคาซื้อหรือขายที่เหมาะสมจะเป็นเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่ Valuation ของสิ่งที่เราลงทุนเพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อะไรก็ตาม โดยปกติไม่มีอะไรที่วิ่งขึ้นขาเดียวหรือไหลลงตลอดไป ยิ่งหุ้นที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง แม้มีปัจจัยที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว ก็ปรับตัวสะท้อนไปที่ปัจจัยพื้นฐานตัวนั้นๆ 

"ผมก็เป็นนักลงทุนสาย VI ที่ยึดหลักการลงทุนแบบปู่ Buffett คือ เวลาจะเลือกลงทุนในบริษัทก็ตาม จะเน้นดูพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ เป็นตัวบ่งชี้ว่า บริษัทมีฐานะมั่นคงหรือไม่ คำว่า ‘มั่นคง’ ย่อมรวมไปถึงโอกาสที่ธุรกิจจะไปต่อนั้น นอกเหนือจากที่ดูข้อมูลในตัวเลขงบการเงิน รายได้ กำไร กระแสเงินสดที่ดี สัดส่วนหนี้สินเป็นอย่างไร เป็นต้น"

เปิดทริกเลือกลงทุน หุ้นเทคฯ ‘สหรัฐฯ VS จีน’ ​

หุ้นเทคฯ จีน น้ำขึ้นให้รีบตัก

"หุ้นเทคฯ จีน" เพราะราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 ปีแล้ว น่าจะผ่านจุดต่ำสุดหลังเผชิญวิกฤติที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Trade War หรือ Tech War ล่าสุดวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ แต่จีนก็ยังมีเสาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกเสาที่ขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ คือ ‘เทคโนโลยี’ และทำให้ปี 2566 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน (GDP) ขยายตัวได้ถึง 5.2% ล่าสุดไตรมาสแรกปี 2567 GDP โต 5.3%

ถ้ามีโอกาสอย่ารีรอ สำหรับใครที่บอบช้ำกับหุ้นจีน "ตราวุทธิ์" แนะว่า  ให้ซื้อถัวเฉลี่ยในช่วงนี้ที่ราคายังไม่ปรับตัวมาก ส่วนใครที่ยังไม่มีหุ้นเทคฯ จีน หากเป็นคนที่รับความผันผวนได้สูง และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า เพราะด้วยฐานที่ต่ำ ถ้าอยากคว้าโอกาสลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูง ก็สามารถให้น้ำหนักหุ้นเทคฯ จีนมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะเห็นผลตอบแทนก้าวกระโดดในอนาคตได้ 

หรือหากจะเลือกลงทุนหุ้นเทคฯ ของทั้ง 2 ประเทศ สามารถทำได้ ​จัดสัดส่วนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ กับจีนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ เช่น นักลงทุน รับความเสี่ยงได้ไม่มาก อาจลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่าหุ้นเทคฯ จีน ถือเป็นการกระจายพอร์ตลงทุนที่ดี

"ตอนนี้นักลงทุน ก็สามารถทยอยลงทุนหุ้นเทคฯ จีนแต่ถ้าไม่มีข้อมูลว่าหุ้นจีนตัวไหนดีราคายังถูกหรือซื้อลงทุนในระยะยาวได้ ก็สามารถเข้ามาดูใน Jitta.com ได้ มีข้อมูลของหุ้นบิ๊กเทคจีนชื่อดังที่ยืนเวทีโลก นำโดย Alibaba, Baidu, BYD NetEase, Tencent, Xiaomi, Huawei รวมไปถึงหุ้นขนาดกลางและเล็กที่โดดเด่นและน่าลงทุน" 

วิธีเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของทั้งจีนเเละสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นใดๆ อย่าลืมศึกษาให้รู้จักบริษัทนั้นๆ เเละเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีกันก่อน

โดยเฉพาะ "หุ้นเทคโนโลยี" จะมีความเสี่ยงหลักจากการที่เทคโนโลยีในปัจจุบันเปลี่ยนเเปลงบ่อยเเละรวดเร็ว การเเข่งขันสูงมาก ดังนั้น การศึกษาข้อมูลบริษัทที่จะเข้าลงทุนเเละทำความเข้าใจกับความเสี่ยงเหล่านี้ จึงมีความสำคัญอย่างมาก

แต่ไม่ว่า นักลงทุนจะเลือกลงทุนหุ้นอะไร สิ่งสำคัญสุด "ควรเริ่มต้นจากบริษัทที่คุ้นเคยอยู่เเล้ว และเข้าใจธุรกิจของบริษัทนั้นได้ง่าย หวังว่า "การทำการบ้านที่ดี จะทำให้พอร์ตจะเจริญรุ่งเรืองไปตลอดนั่นเอง"