‘เครดิตบูโร’ ชี้ ลดแบล็กลิสต์ ‘หนี้เสีย’ จาก 8 ปี ทำได้ โดยการออกประกาศใหม่
เครดิตบูโร ชี้ การแก้ไขลดระยะเวลาจาก 8ปีทำได้โดยการออกประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตหรือประกาศ กคค.ฉบับใหม่ เตือนต้องชั่งน้ำหนักว่า ความเสี่ยงให้ดี ย้ำเครดิตบูโรไม่มีอำนาจตัดสินใจ
ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะแก้เกณฑ์ เพื่อลดระยะเวลาการถูกเก็บประวัติการชำระหนี้ไว้ที่เครดิตบูโร ถึง 8 ปี สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้เข้าถึงระบบการเงินมากขึ้น
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) กล่าวว่า ตามที่ได้มีข่าวสารปรากฏถึงแนวคิดแนวทางในการที่จะช่วยผู้คนซึ่งไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน แต่ต่อมาไม่สามารถชำระหนี้ได้ จนเลยเวลา 90 วันหรือค้างเกินกว่า 3 งวดหรือเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไป สถานะของลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อดังกล่าวนั้นคือ หนี้เสีย หรือ NPLs นั่นเอง
ทีนี้ลูกหนี้ที่มีบัญชีอย่างนี้ในประวัติของตนก็จะไปขอกู้เงินใหม่อีกครั้งก็จะยากมาก ๆ เพราะหนี้เก่าที่ค้างชำระจนเสียนั้นยังไม่จ่าย จะมาได้เงินกู้ใหม่ได้อย่างไร สถาบันการเงินที่จะมาเป็นเจ้าหนี้ใหม่ก็มีกติกาปกป้องจากผู้กำกับดูแลว่า ถ้าตัวคนมายื่นขอกู้เพิ่มใหม่นั้นยังมีบัญชีที่ค้างชำระจนเกิน 3 เดือนมาแล้วคาตาในเวลาที่ยื่นขอกู้ และก็ยังไม่ได้ชำระหนี้ดังกล่าว การจะอนุมัติเอาเงินฝากของผู้ฝากเงินไปให้กับคนที่มีปัญหายังไม่ได้แก้ไขคงจะทำไม่ได้แน่นอน
ประเด็นที่น่าคิดก็คือว่าในช่วงปี 2563-2565 มันมีเหตุการณ์โรคระบาด ส่งผลทำให้เกิด income shock มีการสั่งห้ามการพบหน้ากัน lock down กัน เหตุปัจจัยนี้จะไปบอกว่าเป็นความผิดของลูกหนี้ที่ค้าขาย ทำงาน ทำอาชีพอิสระ ตั้งใจจะเบี้ยวหนี้จนเป็นหนี้เสียเลยทั้งหมดก็คงไม่ได้ ดังนั้นในระบบการเงินไทยเราจึงมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่มีบัญชีหนี้เสียเพราะโควิด-19 ที่เรียกว่า บัญชีหนี้เสียรหัส 21หรือ บัญชี NPLs code 21 ตรงนี้ทุกรัฐบาลก็พยายามหาหนทางในการแก้ไข
วิธีการในการแก้ไขหลัก ๆ คือการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือการทำ TDR. เพื่อให้บัญชีหนี้เสียกลายมาเป็นบัญชีหนี้ปรับโครงสร้างฯ และกลายเป็นบัญชีหนี้ปกติในที่สุดครับ แนวทางต่าง ๆ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการกำหนดไว้ครับ รวมทั้งมีความพยายามสื่อสารให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ มาตกลงกันในจุดที่พอจะไปกันได้ จูงมือกันเดินต่อไป ผลก็เป็นอย่างที่มีการแถลงตัวเลขกัน
ส่วนประเด็นของเรื่องที่อยากจะแก้ไขกติกาการกำหนดในปัจจุบัน (29.05.2567) ว่า ถ้าบัญชีใดเป็นหนี้เสีย เป็น NPLs แล้ว หากลูกหนี้รายนั้นที่เป็นเจ้าของบัญชีไม่ยอมจ่าย ไม่ยอมปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา ไม่ยอมทำ TDR ถูกฟ้อง ถูกดำเนินคดี เราจะยอมให้มีข้อมูลที่แสดงสถานะการเป็นหนี้เสียในระบบของเครดิตบูโรนานเท่าใด นับแต่วันที่บัญชีนั้นค้างเกิน 90 วัน
ถ้าเอาตามกฎหมายในอดีต ก็ต้องส่งข้อมูลการเป็นหนี้เสียเข้ามาในระบบต่อเนื่องไปตลอด จนกว่าจะมีการชำระเป็นปกติ หรือมีการทำ TDR
สมัยท่าน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นผู้ว่าการ ธปท. และเป็น ประธานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต หรือ กคค. ในเวลานั้น ท่านได้พิจารณาว่าเพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีบัญชี NPLs ในประวัติของตน จึงได้มีการหารือกันทั้งระบบสถาบันการเงินและพบว่า ในอเมริกาเขาจะเก็บข้อมูลไว้นาน 7 ปี ในอังกฤษ 6 ปี
จึงได้มีการตัดสินใจในวันนั้นโดยออกประกาศของ กคค.ออกมารองรับว่า ถ้าบัญชีใดค้างเกิน 90 วัน และยังไม่มีการชำระกลับมาเป็นปกติ หรือยังไม่ทำ TDR แล้วหล่ะก็ ก็ให้เจ้าหนี้ส่งข้อมูลต่อเนื่องทุกเดือนเข้ามาในระบบจนครบ 5 ปี กล่าวคือข้อมูลที่ปรากฏในรายงานเครดิตบูโรจะแสดงข้อมูลของปีที่ 5 ปีที่ 4 ปีที่ 3 หรือที่เราเรียกว่า 3 ปีย้อนหลัง รายงานก็จะบอกว่าบัญชีดังกล่าวนั้นค้างเกิน 90 วันแสดงอยู่จำนวน 36 เดือนหรือ 36 บรรทัด
จากนั้น เมื่อสถาบันการเงินส่งข้อมูลเข้ามาจนเห็นเป็นเดือนสุดท้ายของปีที่ 5 ลากลงมาจนถึงเดือนที่หนึ่งของปีที่ 3 แล้ว
ในปีที่ 6 เดือนที่ 1 เครดิตบูโรก็เริ่มลบข้อมูลเดือนที่ 1 ของปีที่ 3 และในเดือนที่ 2 ของปีที่ 6 เครดิตบูโรก็จะลบข้อมูลของเดือนที่ 2 ของปีที่ 3 ทำอย่างนี้เรื่อยไปครับ ดังนั้นข้อมูลจะทยอยถูกลบไปจนบรรทัดสุดท้ายในระบบจะหายไปในเดือนที่ 12 ของปีที่ 8 รวมระยะเวลาที่บัญชีหนี้เสียดังกล่าวอยู่ในระบบคือ 8 ปี (5ส่ง+3ลบ) โดยจะแสดงผลย้อนหลังดังที่ผมเล่าให้ฟัง
ทีนี้ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้ในปีที่ 8 เราจะเห็นข้อมูลว่าบัญชีหนี้สินกรณีนี้เป็นบัญชีหนี้เสีย เพราะยังไม่มีการชำระหนี้ตั้งแต่อดีตนับจากวันที่ค้างชำระเกิน 90 วัน คือเห็นประวัติย้อนไปได้ 8 ปีย้อนหลัง
โดยบรรทัดสุดท้ายที่จะเห็นคือเดือนที่ 12 ของปีที่ 5 ครับ หลังจากครบ 8 ปีแล้ว ข้อมูลทั้งบัญชีนี้จะหายไปจากระบบ แต่มูลหนี้ไม่ได้หายไปนะครับ เจ้าหนี้เจ้าของบัญชีดังกล่าวยังมีสิทธิในการติดตามหนี้ตามกฎหมาย หากแต่สถาบันการเงินอื่นจะไม่เห็นข้อมูลนี้หากลูกหนี้เจ้าของบัญชี NPLs นี้ไปยื่นขอกู้ใหม่กับสถาบันการเงินใหม่
ระยะเวลา 8 ปี จึงเป็นเหมือนกติกาที่แลกเปลี่ยน (Trade off) ระหว่างการไม่ยอมชำระหนี้ การไม่ทำ TDR แลกกับการกู้เงินไม่ได้ในช่วง 8ปี เพื่อปกป้องคุ้มครองเงินฝากที่สถาบันการเงินจะเอามาให้กับลูกหนี้รายนี้ วันนั้นมองกันว่า สมควรแกเหตุอยู่ที่ตรงนี้ครับ ใครจะเห็นด้วยเห็นต่างในวันนี้ เอาที่สบายใจนะครับ ผมขอไม่อภิปรายต่อสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
คำถาม คือการแก้ไขลดระยะเวลาจาก 8ปีทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ทำได้ครับ ทำได้โดยการออกประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตหรือประกาศ กคค. ครับ โดยต้องชั่งน้ำหนักว่า ความเสี่ยงและการแลกเปลี่ยน หรือเป้าหมายที่จะให้ลูกหนี้เจ้าของบัญชีหนี้เสียที่ไม่จ่าย ไม่ทำ TDR นั้นสามารถยื่นขอกู้ได้โดยว่าที่เจ้าหนี้ใหม่ไม่เห็นข้อมูลเมื่อใด ความเสี่ยงของสถาบันการเงินและผู้ผากเงินรับได้ตรงไหน มาตรฐานสากลเป็นอย่างไร หากมีข้อมูลครบ ตัดสินใจได้ครับ
ซึ่งเครดิตบูโรไม่มีอำนาจตัดสินใจ เรามีหน้าที่ดำเนินการตามประกาศคำสั่งอย่างเดียวเลยครับ
ย้ำอีกครั้ง ไม่ต้องแก้กฎหมาย ทำแค่ออกประกาศใหม่ทับประกาศเก่า จะทำหรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตหรือ กคค. ครับ คณะกรรมการฯดังกล่าวมีท่านผู้ว่าการ ธปท. เป็นประธาน มีท่านผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เป็นเลขานุการ ในส่วนของคณะกรรมการบริษัทของเครดิตบูโร หรือตัวผมเองไม่มีอำนาจใด ๆ เลยในเรื่องนี้
เราให้ข้อมูลและรับคำสั่งมาปฏิบัติอย่างเดียวครับ
หมายเหตุ : การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประสบภัยจากโควิด-19 จนกลายเป็นหนี้เสีย ชำระหนี้ไม่ได้ เป็นนโยบายมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลต้องการให้ลูกหนี้ที่มีบัญชีหนี้เสียนี้กลับเข้าสู่ระบบ กู้เงินได้อีกครั้ง แต่จะใช้วิธีการอย่างใดจึงจะสมดุลทั้ง
ความเป็นธรรมของผู้เป็นหนี้เสียที่ทุกข์ทรมารจากผลกระทบของโควิด-19 จนไปต่อได้ยาก
หลักกฎหมาย เป็นหนี้ต้องใช้หนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญา
ความเสี่ยงและความมั่นคงของระบบการเงิน ว่าหนี้เสียจะเพิ่ม จะลด คนเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มหรือลดลง
ความเสี่ยงของผู้ฝากเงินที่จะถูกนำไปปล่อยกู้ต่อว่าเขาเหล่านั้นคิดอย่างไร
ความรู้สึกของลูกหนี้ดีที่ชำระปกติมาโดยตลอดเขาจะคิดอย่างไร
เป้าหมายทางนโยบายที่ต้องการผลสำเร็จที่ตอบโจทย์กับปัญหาทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ขอนำเสนอเป็นข้อมูลด้วยความสุจริตใจเป็นที่ตั้งเพราะอยู่ตรงกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้กำกับดูแล และผู้กำหนดนโยบาย