ครึ่งปีหลัง‘จัดพอร์ต’เติบโตไปกับ‘หุ้นสหรัฐ

ครึ่งปีหลัง‘จัดพอร์ต’เติบโตไปกับ‘หุ้นสหรัฐ

”ตลาดหุ้นสหรัฐ“ แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และที่สำคัญ ดัชนี S&P 500 ก็ทำ All time High เสียด้วย อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นโมเมนตัมจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม “หุ้น 7 นางฟ้า“

ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา Bloomberg Magnificent 7 Price Return Index ยังปรับขึ้นกว่า 17% ชนะดัชนี S&P ที่ปรับขึ้น 10% แม้จะแผ่วลงจากแรงขายทำกำไรในช่วงต้นไตรมาส 2  แต่เดือนนี้ หุ้นสหรัฐ ก็กลับมาดีดเด้งอีกครั้ง หลังข่าวผลประกอบการในไตรมาสแรกของกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโตได้ดีทั้งรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง เช่นหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ไตรมาสแรก รายได้เติบโต +15 %และกำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้น +57% หรือ Meta ทำรายได้เติบโต 27% YoY ซึ่งเป็นไตรมาสที่โตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564

ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคฯ หลายๆ ตัวทำผลประกอบการแข็งแกร่ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า GDP สหรัฐฯ อาจจะไม่ได้เติบโตมากแล้ว ส่วน P/E ของตลาดหุ้นก็ไม่ได้ถูกมากนักก็ตาม

 

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐในระยะข้างหน้า จะยังลงทุนต่อได้หรือไม่นั้น  “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ มองว่า ระยะสั้นถึงระยะกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐ มีความผันผวนอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอน

หากเฟดส่งสัญญาณมีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยได้เร็ว ก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นได้ทันที แต่ถ้าส่งสัญญาณว่า มีการลดโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ย ก็เป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นทันที นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสงครามที่มีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างสูง สร้างความอ่อนไหวให้กับตลาดหุ้น

 

แต่อย่างไรกดี  ตลาดหุ้นสหรัฐยังมี ปัจจัยบวกที่หนุนตลาดไปต่อ คือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้ แม้จะเติบโตชะลอตัวลงหรืออาจเป็น Soft Landing และ GDP เติบโตไม่สูงมากอยู่ระดับ 1-2% แต่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาด ยังสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หากดูด้าน Valuation ตลาดโดยรวม อาจจะค่อนข้างตึงตัว 

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สหรัฐจะมีการเลือกตั้งใหญ่ราวปลายปี ซึ่งจากสถิติพบว่า ปีที่มีการเลือกตั้ง ดัชนี S&P 500 จะปรับตัวบวกเฉลี่ย 13.1% และหากเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยจริงก็จะโมเมนตัมให้ตลาดไปต่อ

ทั้งนี้ มีข้อมูลสถิติในช่วงที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย มีการปรับขึ้นย่อยๆ จะเห็นว่าดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมา +21.79% ล่าสุดปี 2565-2567 ดัชนีขึ้นมาถึง +4.98% ทำให้รู้แล้วว่า “เริ่มขึ้นแล้ว” ต้องมีจุดจบในการลดดอกเบี้ย

นักลงทุนมองไปข้างหน้าเหมือนกันแล้ว คล้ายๆ กับช่วง 2516-2517 ช่วงที่ เฟดขึ้นดอกเบี้ย แล้วพอลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็วิ่งได้อีกเป็น 10 – 20 ปีเลย

“ตลาดหุ้นสหรัฐ ” เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามและขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของโลก  ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในสหรัฐหากเห็นจังหวะที่ตลาดย่อตัวลงมา ก็สามารถเลือกลงทุนในหุ้นสหรัฐได้

ตราวุทธิ์ แนะว่า หากถือ “ลงทุนระยะยาว ควรจะเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มสุขภาพ” 

“ใครที่ยังมีคำถามค้างคาใจต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขึ้นมาแรงแล้ว ทำไมราคาหุ้นยังไปต่อ นั่นก็เพราะนักลงทุนค่อนข้างให้ (ราคา)  กับหุ้นเทคฯ ซึ่งยังสามารถเฟ้นหาหุ้นเทคฯ ที่ราคายังไม่แพงมากเท่า 7 นางฟ้าได้ นักลงทุนลองเข้าไปดูข้อมูลรายตัวใน Jitta.com จะมีหุ้นเทคฯ ขนาดกลางและเล็กที่รายได้และกำไรเติบโตแข็งแกร่ง"

แต่ราคาหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นไม่มากหลังจากปี 2565 ที่ได้ปรับตัวลงมาอย่างหนัก วันนี้ก็ยังปรับตัวขึ้นมาไม่ค่อยสูงมากนัก ถือเป็น โอกาสที่นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ และยังสามารถดูหุ้นอื่นๆ ได้

เนื่องจากเป็นคลังข้อมูลที่ทำการวิเคราะห์เชิงลึกหุ้นจำนวนมากกว่า 48,000 ตัวจากตลาดทั่วโลก ซึ่งจะเห็นหุ้นตัวไหนมีคุณภาพ ราคาถูกหรือแพง หุ้นมีอนาคตเติบโต เป็นต้น

ในส่วน "หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่"  เนื่องจากยังมีแรงเทรดค่อนข้างมาก และ PE ค่อนข้างสูงจริงๆ อาจให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง หากจะเข้าลงทุนในหุ้นใหญ่หรือ Index กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตค่อนข้างมากแล้ว

 “ตราวุทธิ์”  ทิ้งท้ายด้วยว่า นักลงทุนที่มีการลงทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป จีน ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว และ มีการจัดสรร Asset Allocation ไว้ดีแล้ว "หากดัชนีปรับขึ้นมาสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็สามารถรีบาลานส์ เพื่อล็อคกำไรบางส่วนออกมาได้"