นักลงทุนลดเดิมพัน 'พันธบัตร' กระแส ’เลือกตั้งสหรัฐ’ บังทิศทางประชุมเฟด
นักลงทุนลดการเดิมพัน 'พันธบัตร' หลังกระแส ’เลือกตั้งสหรัฐ’ บดบังทิศทางประชุมเฟด คาดลดดอกเบี้ย 0.25% รอจัดพอร์ตหลังได้ปธน.คนใหม่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักลงทุนในตลาดพันธบัตรกำลังแสดงท่าทีระมัดระวังและรักษาจุดยืนที่เป็นกลางในการจัดการพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางปัจจัยสำคัญสองประการที่กำลังส่งผลต่อตลาด นั่นคือการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งกำลังถูกบดบังด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ใกล้เข้ามา
นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ย. นี้ หลังจากที่มีการเลื่อนออกไปหนึ่งวันเนื่องจากตรงกับวันเลือกตั้ง
"เลือกตั้งสหรัฐ" ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนในตลาดพันธบัตรในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แทนที่จะเป็นการประชุมเฟด โดยนักลงทุนยังคงระมัดระวังในการจัดสรรเงินลงทุนและรักษาระดับเงินสดไว้จนกว่าจะมีการประกาศผลผู้ชนะการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา นักลงทุนในพันธบัตรได้ขยายระยะเวลาการลงทุนโดยเน้นการซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุยาวนานขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดและความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์การซื้อขายพันธบัตรแบบนี้ยังคงได้รับความนิยมแม้หลังจากการเลือกตั้ง เนื่องจากในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ราคาพันธบัตรมักจะปรับตัวสูงขึ้น
เจเน็ต ริลลิ่ง จาก Allspring Global Investments เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงรักษาท่าทีที่เป็นกลางในการลงทุน เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งข้อมูลที่เฟดเปิดเผยออกมา การผันผวนของตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง
“การพยายามคาดการณ์ผลการเลือกตั้งและผลกระทบที่ตามมาเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล บริษัทจึงเลือกที่จะรอผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนก่อน เพื่อที่จะสามารถประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
กระแส "ทรัมป์เทรด” ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในตลาดพันธบัตรตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา โดยสังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนเทขายพันธบัตรและตราสารหนี้ แม้ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้แสดงความกังวลต่อแผนนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยเฉพาะมาตรการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และยังอาจทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย
อ้างอิง Reuter