ส่อง ‘รีเทิร์น’ 3ไอพีโอเดือนส.ค. รวม ‘มูลค่าระดมทุน’ 3.81 พันล้าน
เช็กผลตอบแทน "3 ไอพีโอ" เข้าเทรดเดือนส.ค. ที่ผ่านมา "เคซีจี-ไอทู-พีเอสพี" รวมมูลค่าระดมทุน 3.81 พันล้านบาท ! "รอด" หรือ "ร่วง" ท่ามกลางตลาดหุ้นไทยสุดผันผวน !!
ในช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมา บรรยากาศลงทุนใน “ตลาดหุ้นไทย” คงต้องให้คำนิยามว่า “ตลาดแห่งความผันผวน” เนื่องจากตลาดรอดูความชัดเจนทางการเมือง ! และเมื่อความชัดเจนบังเกิด หลังเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว !! ซึ่งปัจจัยบวกดังกล่าวหนุนดัชนีหุ้นไทยพุ่ง 22 จุดทันที
ข้ามฟากมาที่ “ตลาดหุ้นไอพีโอ” ตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. ที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกกดดันจากความไม่ชัดเจนเช่นกัน สะท้อนผ่านเดือนส.ค. มีหุ้นไอพีโอที่เข้าระดมทุนวันแรก (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) จำนวน 3 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 3,811.50 ล้านบาท!!
ประกอบด้วย บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG , บริษัท ไอทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 และล่าสุด บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP
“กรุงเทพธุรกิจ” สำรวจ “ผลตอบแทน” (รีเทิร์น) ของ “3 หุ้นไอพีโอ” ที่เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในเดือนส.ค. 2566 พบว่า บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและขนมตะวันตก (Western foods) ซึ่งอยู่คู่ตลาดมาทุกยุคทุกสมัยยาวนานมากกว่า 60 ปี ! ภายใต้แบรนด์ดัง “คุกกี้อิมพีเรียล” ที่รู้จักกันดีว่า “คุกกี้กล่องแดง”
โดย KCG เปิดซื้อขายวันแรกในตลาด SET เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2566 ด้วยราคาเปิดที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท 0.58% จากราคาไอพีโอที่ 8.50 บาท ก่อนเคลื่อนไหวมาปิดตลาดอยู่ที่ 8.30 บาท ลดลง -2.35% ซึ่งมีมูลค่าระดมทุนราว 1,317.50 ล้านบาท
สำหรับ การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ ! เงินระดมทุนส่วนแรกใช้เพื่อก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park บริเวณโรงงานที่บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งจะมีทั้งอาคารสำหรับจัดเก็บสินค้าแช่แข็ง (Frozen) 2 อาคาร และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) 3 อาคาร และอาคารจัดเก็บวัตถุดิบในการผลิต จำนวน 1 อาคาร
ขณะที่ เงินระดมทุนส่วนที่สองใช้ลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยวางแผนขยายกำลังการผลิตชีสจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปีในปี 66 ส่วนกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,596 ตันต่อปีในปี 64 เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปีในปี 2567
บริษัท ไอทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 ประกอบธุรกิจ System Integration (SI) ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โทรคมนาคม และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการติดตามดูแลรักษาและการให้การฝึกอบรมแก่ผู้ใช้งานและการให้บริการอื่นๆ
โดย I2 เข้าซื้อขายวันแรกในตลาด MAI เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ด้วยราคาเปิดที่ 3.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.42 บาท หรือ 15.55% จากราคาไอพีโอที่ 2.70 บาท ก่อนเคลื่อนไหวมาปิดตลาดที่ 2.50 บาท ลดลง -7.41% ซึ่งมีมูลค่าระดมทุนราว 324 ล้านบาท
สำหรับ วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ ! บริษัทเตรียมนำเงินไป “ขยายการลงทุน” ในงานบริการโครงการขนาดใหญ่แก่ลูกค้า นำไปใช้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้าง New S Curve รองรับแผนการเติบโตในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การระดมทุนจะทำให้ฐานทุนและฐานะทางการเงินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจให้โดดเด่นยิ่งกว่าที่ผ่านมา และหลังจากนี้เตรียมบุกขยายงานใหม่เต็มที่ เพื่อคว้างานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
และ บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP หนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้ารุกสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่มีอัตรากำไรและการเติบโตสูง รองรับเมกะเทรนด์อุตสาหกรรม และมุ่งขยายตลาดต่างประเทศควบคู่
โดย PSP เข้าซื้อขายวันแรกในตลาด SET เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ด้วยราคาเปิดที่ 10 บาท เพิ่มขึ้น 3.80 หรือ 61.29% จากราคาไอพีโอ 6.20 บาท ก่อนเคลื่อนไหวมาปิดตลาดที่ 10 บาท ปรับตัวขึ้น 61.29% ซึ่งมีมูลค่าระดมทุนราว 2,170 ล้านบาท
สำหรับ วัตถุประสงค์การใช้เงินระดมทุนครั้งนี้ ! มีทั้งหมด 3 เรื่อง นั่นคือ 1.ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 2. ลงทุนปรับปรุง Facility ในโรงงานของบริษัท ทำ Digital Transformations พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น และ 3. เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสเติบโตในต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมียอดขายในต่างประเทศที่ 30 ล้านลิตรต่อปี แต่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นในภูมิภาคอาเซียนอยู่ที่ 3,000 ล้านลิตรต่อปี จึงมีโอกาสโตอีกมาก โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 25% จากเดิม 15%
อย่างไรก็ตาม “3 หุ้นไอพีโอ” แบ่งเป็น 2 บริษัท (หุ้น KCG และ หุ้น I2) เข้าซื้อขายก่อนมีการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งจะเห็นว่าราคาหุ้นปิดวันแรกในการเข้าซื้อขายผลตอบแทนจะลดลง ขณะที่ไอพีโออีก 1 ตัว (หุ้น PSP) เข้าซื้อขายหลังประเทศไทยมีนายกฯ คนใหม่แล้ว จะเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสดใส และผลตอบแทนวันแรกในการเข้าซื้อขายยังเป็น “บวก” อีกด้วย !!