"บลจ.วรรณ" ชี้ชัด 3 ปัจจัยหนุน ดัชนี ปี 66 แตะ 1,780 จุด !
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาพรวมของ “อุตสาหกรรมกองทุน” ระส่ำ ! สะท้อนผ่านมีสินทรัพย์ประเภท “ตราสารหนี้” ที่ออกจากระบบมากที่สุดถึงระดับ “3 แสนล้าน” แต่สวนทางกับผลดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ ที่ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด !
สะท้อนภาพกองทุนต่างๆ ของ บลจ.วรรณ ที่เลือกเข้าลงทุนมีผลประกอบการที่ดี ! เหตุมีการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง และเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่ง เพราะการล็อกดาวน์ของภาครัฐทำให้ประชาชนต้องอยู่บ้านหรือแม้แต่การทำงานที่บ้าน บ่งชี้ผ่านหลักๆ เป็นหุ้นกลุ่มที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่เติบโตในภาวะประชาชนถูกล็อกดาวน์ เช่น หุ้นเทคโนโลยี , ขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น
“พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เล่าให้ฟังว่า การถูกล็อกดาวน์ของประชาชน กลายเป็นผลดีต่อกองทุนที่บริษัทเข้าลงทุน ส่งผลให้ผลประกอบการ บลจ.วรรณในปี 2564 เติบโต “ก้าวกระโดด” สะท้อนผ่านมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะระดับสูงสุดถึง 1.8 แสนล้านบาท เทียบจากช่วง 5 ปีก่อน AUM อยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ปี 2565 คาดAUM จะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท โดยล่าสุด บริษัทชนะการคัดเลือกจากรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ระดับประเทศ เพื่อบริหารการลงทุน มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ AUM ของบริษัทเติบโตขึ้นอีกในปี 2566 และจากการเปิดขายกองทุนใหม่ในปีหน้า จำนวน 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้จะเตรียมเข้าประมูลชิงงานบริหารกองทุนส่วนบุคคลอีกกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดค่อนข้างสูง ทั้งตลาดหุ้นทั่วโลก และไทยยังถูกเทขายอยู่เลย!
“มณฑล จุนชยะ” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้ามีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือ ปัจจัยแรก ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่คาดว่าจะเริ่มอิ่มตัว แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะคงเดินหน้าต่อเนื่องไปถึงต้นไตรมาส 2 ปี 2566 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 5% +/- จากนั้นคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2567
ปัจจัยที่สอง คือ นโยบายของจีนคาดว่าทางการจีนจะเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid และอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย น่าจะมีความชัดเจนก่อนไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่งจะเป็นผลบวกกับภาคการท่องเที่ยวของไทย และค่าเงินบาทส่วนปัจจัยเฉพาะตัวของไทยคือ การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2566 เป็นผลดีต่อภาพการลงทุน เพราะในอดีตที่ผ่านมาช่วงเดือนแรกหลังการเลือกตั้งตลาดหุ้นมักจะตอบรับในเชิงบวก
ปัจจัยเหล่านี้จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ภาพการลงทุนมีแนวโน้มค่อนข้างดี จึงให้เป้าดัชนี SET Indexปีหน้าที่ 1,780 จุด โดยมีค่า PE อยู่ที่ 16 เท่า จากปีนี้ 1,620 จุด ขณะที่สถานการณ์ต่างประเทศอาจยังมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจกดดันอยู่ ทำให้ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นแค่การเทรดดิ้ง
“หุ้นไทยมี story ว่าเรา Reopening ที่เพิ่งเริ่ม และถ้าเราเร่งตัวขึ้นก็จะดี แต่โลกกำลังเข้าสู่ recession ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งการจับจ่ายใช้สอย และบ้านเรามีการเลือกตั้ง ซึ่งปกติหลังเลือกตั้งตลาดจะ growth 4% ปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีความเป็นไปได้โต 3-4%”
ทั้งนี้ ตลอดปี 2565 ที่ผ่านมาภาพของการลงทุนหลักมีปัจจัยลบค่อนข้างมากทั้งการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรป ภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้ง นโยบาย Zero-Covid ของจีน ซึ่งเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้คิดรวมแล้วมีน้ำหนักเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP โลก ทำให้คาดว่า GDP โลกปีนี้จะเติบโตประมาณ 3.2% และยังจะส่งผลต่อเนื่องทำให้ GDP โลกปี 2566 จะขยายตัวได้แค่ 2.7%
โดยจากปัญหาข้างต้นทำให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเมกะเทรนด์ที่เคยโดดเด่นมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต่างปรับตัวลดลงกว่า 20% อาจจะพูดได้ว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเกินกว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ 8.8% ได้เลย
ท้ายสุด ตลาดหุ้นคาดผลตอบแทนกันอยู่ไม่ถึง 10% เนื่องจากผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเติบโตไม่มาก ทำให้การลงทุนในหุ้นอาจจะต้องมองให้เป็นการถือระยะยาวขึ้นเป็นระดับ 6-12 เดือน เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่เกี่ยวกับการบริโภค ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจอยู่เพราะมีปัจจัยเฉพาะตัวทั้งเลือกตั้ง และการท่องเที่ยว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์