ถ้าย้อนอายุกลับไปที่ประมาณ 25 ปีได้ ผมจะลงทุนอย่างไรในวันนี้?
วันที่ 11 มี.ค. 2566 ผมได้ไปพูดให้กับนักลงทุนในงานสังสรรค์ประจำปีของสมาคมไทย VI ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 300 คน
โดยหัวข้อที่จะพูดนั้น เป็นการตอบคำถาม ที่ผู้เข้าร่วมส่งมาล่วงหน้าและรวบรวมตอบโดยพิธีกรบนเวที คำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจและคนจำนวนไม่น้อยน่าจะอยากรู้ก็คือ ถ้าผมย้อนอายุลงมาเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ผมจะใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศและคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมงานสัมมนาสังสรรค์ประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังโควิด-19 สงบ ซึ่งก็พบว่าคนเข้าร่วมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คนส่วนใหญ่มากเป็นคนที่มีอายุประมาณน่าจะ 30 ปีบวกลบ ซึ่งเป็นวัยที่ทำงานมาได้ระยะหนึ่งและสนใจเรื่องของการลงทุนมาก
พวกเขาน่าจะมีการศึกษาสูงอย่างน้อยปริญญาตรีและปริญญาโท มีอาชีพการงานที่มีเงินเดือนดี และมีจำนวนคนเข้าร่วมเป็นผู้หญิงมากขึ้นมาก คนสูงอายุระดับ 40-50 ปีขึ้นไป อย่างที่ผมเคยพบในยุคสัก 4-5 ปีก่อน ที่ชอบเข้าร่วมฟังการสัมมนาฟรีมีน้อยมาก
พูดง่ายๆ นี่คือกลุ่มของ “อีลิท” รุ่นใหม่ที่เอาจริงเอาจังกับการลงทุนและอยากรวยจากตลาดหุ้น เหมือนกับ “เซียนหุ้น” รุ่นก่อนจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จอย่าง “มหัศจรรย์” ซึ่งรวมถึงผมด้วย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถามคำถามนี้ เขาอยากรู้ว่าผมที่ประสบความสำเร็จในยุคที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยกำลังรุ่งเรืองจนถึงประมาณอย่างน้อย 10 ปีก่อน จะทำอย่างเดิมหรือใช้กลยุทธ์แบบเดิมไหม? และเพราะอะไร?
คำตอบของผมก็คือ ประเทศไทย เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย น่าจะผ่านจุดที่รุ่งเรืองมากมาแล้ว สถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปโดยที่เหตุผลสำคัญก็คือ โครงสร้างประชากรไทยที่คนแก่ตัวลงมาก คนสูงอายุเกษียณจากงานที่มีรายได้สูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนกลุ่มนี้มีจำนวนเป็นล้านคนต่อปี ซึ่งทำให้รายได้ที่เป็นตัวกำหนดการเติบโตของGDP ลดลงมาก
ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้ามาทำงาน มีรายได้ต่ำ และมีจำนวนน้อยลงมาก เพราะกลุ่มคนในรุ่นหลังนั้น แต่ละปีมีจำนวนแค่ 700,000-800,0000 คน และอนาคตก็จะเหลือแค่ปีละ 500,000 เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ล่าสุดที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วมีจำนวนลดลงมาอย่างรวดเร็วเหลือแค่ 500,00-600,0000 คน
วิธีที่จะรักษารายได้ของคนทั้งประเทศให้สูงขึ้นก็คือ การเพิ่มเงินเดือนให้คนทำงานมีรายได้มากขึ้นชดเชยกับรายได้ที่ลดลงเพราะคนแก่ตัวและคนเกิดน้อยลง แต่นี่ก็อาจจะทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะถ้าเงินเดือนหรือรายได้เพิ่มขึ้นโดยที่ประสิทธิภาพการทำงานไม่เพิ่มขึ้น
ในที่สุดก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อซึ่งทำให้รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่มีประโยชน์ และนั่นก็จะทำให้เศรษฐกิจหรือ GDP ไม่เติบโต และถ้า GDP ไม่เติบโต ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็จะเติบโตได้ยาก ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหน และนั่นก็ทำให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่ไปไหน
การเลือกซื้อหุ้นเป็นรายตัวก็จะยากขึ้นมาก และการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับจากวันนี้ ก็อาจจะต้องเป็นการเทรดหรือซื้อขายหุ้นที่ไม่โต ต้องซื้อหุ้นที่ตกลงมาแรงและรอขายจังหวะที่มันจะขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้น ถ้าผมอายุ 25 หรือ 30 ปี ในวันนี้ สิ่งที่ผมจะทำก็คือ ผมคงต้องไปเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตเร็วคล้ายๆ กับประเทศไทยเมื่อซัก 15-20 ปีก่อน และผมก็คงใช้กลยุทธ์แบบที่เคยทำในช่วงเวลานั้น คือลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก”
โดยไม่คำนึงถึงปัญหาระยะสั้นที่เกิดภาวะวิกฤติในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลานี้ แล้วก็ถือยาวอาจจะเป็นอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป เมื่อหุ้นเหล่านั้นโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหุ้นใหญ่ หรือหุ้นยักษ์อย่างที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย
วิธีการเลือกหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็คงทำอย่างที่ผมเคยทำในตลาดหุ้นไทยนั่นคือ หาเมกาเทรนด์ในเวียดนามในช่วงเวลานี้ ซึ่งก็เป็นในแทบทุกอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีกสมัยใหม่ ช้อปปิ้งมอลล์ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จะมาแทนที่ตลาดสด สนามบิน โรงแรมและโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่คนที่รวยขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องการใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้น เวียดนามเองก็ยังมีภาคธุรกิจแนว “ไฮเทค” ที่สามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก เช่น ธุรกิจรับจ้างเขียนโปรแกรมระบบคอมพิวเตอร์ให้กับธุรกิจและเกมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ให้กับบริษัทระดับโลกอื่นๆ โดยที่เวียดนามทำได้เพราะคนเวียดนามมีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์สูงแต่ต้นทุนค่าแรงต่ำกว่าคู่แข่งมาก
ถัดจากเรื่องของเมกาเทรนด์แล้วก็คือต้องหา “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมให้พบ ซึ่งเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีบริษัทที่กำลัง “นำ” อยู่ในหลายอุตสาหกรรม แม้ว่าช่วงนี้หลายบริษัทก็กำลังประสบปัญหาจากเหตุการณ์ “ชั่วคราว” ที่เกิดเรื่องของการจับคนทำผิดและคอร์รัปชันของทางการ
ซึ่งส่งผลให้ตลาดพันธบัตร “ล่มสลาย” และทำให้บริษัทพัฒนาอสังริมทรัพย์จำนวนไม่น้อยล้มละลาย เช่นเดียวกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งหมดนี้ คล้าย ๆ กับเป็นภาวะ “Perfect Storm” คือเรื่องเลวร้ายหลายเรื่องเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งทำให้หุ้นและดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาแรงมาก แต่นี่ก็ทำให้ “เกิดโอกาสครั้งใหญ่”
เพราะทำให้ราคาของหุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์ และกำลังเป็นผู้ชนะ มีราคาที่ถูกหรือยุติธรรมมาก นั่นคือ หุ้นมีค่า P/E ปกติอยู่ในระดับไม่เกิน 20-25 เท่า และเป็นหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน มีการเติบโตระยะยาวในระดับ 2 หลัก ซึ่งทำให้เข้าข่ายที่จะเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในอนาคตอีก10 ปีข้างหน้า ที่ราคาอาจจะขึ้นไปได้อีกหลายเท่าตัว
และนั่นก็คือสิ่งที่ผมจะทำถ้าวันนี้ผมอายุ 25-30 ปี เริ่มมีเงินเหลือเก็บและลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตอีกเป็นสิบ ๆ ปี และหวังว่าวันหนึ่งก่อนเกษียณตามเกณฑ์มาตรฐานผมอาจจะมีอิสรภาพทางการเงิน หรือมีความมั่งคั่งเป็น “คนรวย” หรือแม้แต่เป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีอย่างที่เซียนหุ้นหลายคนในตลาดหุ้นไทยเป็นในวันนี้
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นอาจจะไม่จริง สิ่งที่ผมคิดอาจจะไม่เกิดขึ้น เวียดนามในอนาคตอาจจะไม่เหมือนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน อุปสรรคมีร้อยแปด เช่น ระบบการปกครองที่ไม่เหมือนกันอาจจะทำให้เส้นทางเดินของเวียดนามไม่เป็นแบบไทยในวันนี้แต่ “ล้มเหลว” เพราะผู้ปกครอง “เปลี่ยนนโยบาย” กลับไปสู่ระบบเดิมและไม่มีใครไปขวางได้ เกิดเหตุไม่คาดคิดเช่น เกิดสงครามระหว่างประเทศและเกี่ยวข้องกับเวียดนามที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยลง เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในภาพใหญ่ เศรษฐกิจอาจจะตามไทยได้ทันตามแผน แต่ในภาพเล็กที่เป็นเรื่องของหุ้นนั้น การเติบโตของธุรกิจและราคาหุ้นก็อาจจะไม่ได้ดีอย่างในตลาดไทยที่ผู้นำสามารถ “กินรวบ” จนรายได้และกำไรโตเร็วมากจนทำให้หุ้นขึ้นไปยาวนานและสูงมาก พูดง่าย ๆ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าทุกอย่างจะเหมือนเมืองไทยแม้ว่าลักษณะของประเทศเวียดนามและไทยรวมถึงผู้คนของทั้งสองประเทศจะคล้ายกันมากทางด้านของวัฒนธรรม
แต่ถ้าผมต้องเลือกระหว่างไทยกับเวียดนามในวันนี้ว่า อนาคตประเทศหรือตลาดหุ้นไหนจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะได้เปรียบมาก ถ้าจะพูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “เวียดนามมีลุ้นมากกว่า” มองในระดับ “อินเตอร์” ก็จะเห็นได้ชัดว่า เวียดนามนั้น เป็น “ตลาดแห่งอนาคต” ส่วนตลาดไทยนั้น ดูคล้าย ๆ กับ “อดีต” ที่เปลี่ยนแปลงยาก
สุดท้ายที่ผมอยากจะบอกก็คือ ถึงผมจะเลือกไปลงทุนในตลาดเวียดนาม โอกาสที่ผมจะรวยแบบในตลาดหุ้นไทยในอีก10-20 ปีข้างหน้านั้นก็น่าจะน้อยมาก เพราะผมคิดว่า ความร่ำรวยที่ได้จากตลาดหุ้นไทยในอดีตกว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้น “โชค” น่าจะมีส่วนเกิน 60-70% ขึ้นไป
โชคที่ว่าก็คือ เราเริ่มลงทุนในช่วงเวลาที่เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทย ถ้าไม่ได้แย่เกินไป ยังไงก็ชนะ ยังไงก็รวย ฝีมืออาจจะเป็นส่วนประกอบเท่านั้น และต่อจากนี้จะทำไม่ได้อีกแล้ว