หวั่นการเมือง ฉุดหุ้นไทยหลุด1,500 จุดยาว เหตุต่างชาติขาย-เม็ดเงินสภาพคล่องหาย
โบรก ชี้ ปัจจัยการเมืองไม่ชัดเจน มีโอกาสฉุดดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,500 จุดยาว เหตุ ต่างชาติขายต่อเนื่อง-เม็ดเงินสภาพคล่องหาย จากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ผลพวงกรณีหุ้นSTARK เชื่อหากประชุมสภาฯนัดแรก เลือกประธานสภา-นายกฯได้ ดัชนีพร้อมปรับตัวขึ้น
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน( ณ26 มิ.ย.66) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 10.98% ซึ่งUnderperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค และ ตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP อย่างตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ลดลงเพียง 2-3% ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก 2 ปัจจัย คือ
1. เม็ดเงินสภาพคล่องที่ลดลง เนื่องจาก นักลงทุนความเชื่อมั่นในการลงทุน เป็นผลพวงจากกรณีปัญหาหุ้นกู้ที่ดีฟอลต์ในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนมีความกังวลในการลงทุนหุ้นกู้ โดยชะลอการลงทุนหุ้นกู้ ทำให้มีหุ้นกู้ที่เปิดเสนอขายแต่ขายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือการออกเสนอขายหุ้นกู้รุ่นใหม่เพื่อทดแทนรุ่นเดิม (Roll over)จะทำได้ยากขึ้น
รวมถึงอาจมีนักลงทุนมีการขายหน่วยลงทุนออกมาทำให้กองทุนที่มีกระแสเงินสดไม่เพียงพออาจจะต้องขายหุ้นออกมาเพื่อนำเงินมาคืนนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน ขณะที่เริ่มเห็นแรงขายหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กออกมามากขึ้น เพราะขาดความเชื่อมั่นการลงทุน ดังนั้นคาดว่าในช่วงปิดงวดไตรมาส2 ปีนี้ มีโอกาสน้อยที่จะเกิดการทำ Window Dressing ของกองทุน เพราะ ปัจจุบันกองทุนมีเม็ดเงินลงทุนหุ้นไทยน้อย หลังจากที่ยกเลิก LTF เปลี่ยนเป็น SSF
ส่วนปัจจัยที่ 2 คือ ปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี ซึ่งเริ่มมีความกังวลว่าในการประชุมสภาฯนัดแรกจะไม่สามารถเลือกประธานสภาฯและนายกฯได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงมีผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงแรงได้ ยิ่งทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ(ฟันด์โฟลว์)เทขายหุ้น เพราะนักลงทุนกังวลว่าจะทำให้พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้า
“หากยังไม่มีความชัดเจนทางการเมือง มีโอกาสดัชนีหุ้นไทยหลุด1,500 จุดยาวได้ และมูลค่าการซื้อขายเบาบางต่อเนื่องโดยมองกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,444-1,482 จุด แต่หากมีความชัดเจนการเมืองดัชนีพร้อมที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น”
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (26 มิ.ย.)ปรับตัวลงแรง จากความกังวลปัจจัยการเมือง ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก จากกรณีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STARK และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลออกต่อเนื่อง
“หุ้นกลุ่มเจมาร์ทที่ปรับตัวลงแรงนั้น เชื่อเป็นผลจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก"
สำหรับในสัปดาห์นี้ยังไม่มีปัจจัยบวกหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะสิ้นเดือนจะมีการดัชนีSET 50 และมีฟิวเจอร์ที่จะหมดอายุฯลฯ ดังนั้นจึงมองกรอบแนวรับสัปดาห์นี้ที่1,470 จุด แนวต้าน 1,525-1,535 จุด โดยแนะนำนักลงทุนเลือกซื้อเป็นรายตัวในหุ้นที่ผลดำเนินงานไตรมาส2ปี 2566 เติบโต เช่น กลุ่มแบงก์ แนะนำ SCB LHFG และ CPALL หุ้นกลุ่มโกลบอลเพย์ แนะนำBANPU PSL