ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น บวก12วันติด อยู่ในช่วงขาขึ้นยาวนานสุดรอบ6ปี
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(25ก.ค.)ดีดตัวขึ้น โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 12 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นยาวนานที่สุดในรอบกว่า 6 ปี
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 26.83 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 35,438.07 จุด
- ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 12.82 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 4,567.46 จุด
- ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 85.69 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 14,144.56 จุด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 26.83 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 35,438.07 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 12.82 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 4,567.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 85.69 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 14,144.56 จุด
ตลาดจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสัปดาห์นี้ โดยบริษัทอัลฟาเบทและไมโครซอฟท์จะเปิดเผยผลประกอบการหลังปิดตลาดวันอังคาร ขณะที่บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ จะเปิดเผยหลังปิดตลาดวันพุธ
บริษัทราว 130 แห่งในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งบริษัทจำนวน 79% มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 98.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค.
นอกจากนี้ ตลาดมองว่าเฟดใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยยอดค้าปลีก, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้เป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้ และจะคงอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยดัชนีดังกล่าวสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)