โบรก คาดราคาน้ำมันจ่อทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แนะปรับพอร์ตเติม‘หุ้นน้ำมัน’
กำลังกลับมาเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอีกครั้ง !! หลังราคา “น้ำมันดิบโลก” ปรับตัวขึ้นทำ “สถิติสูงสุด” ในรอบ 1 ปี ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา สะท้อนผ่านราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับตัวขึ้น 11% และ 12% ตามลำดับ
หลังจาก “สำนักงานพลังงานสากล” (IEA) คาดว่าการที่ประเทศซาอุดีอาระเบียขยายเวลาปรับลดกำลังผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี 2566 นี้ และรัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 300,000 บาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปีนี้จะส่งผลให้ "ซัพพลาย" (Supply) น้ำมันตลาดโลกอยู่ในภาวะ "ตึงตัว" ไปจนถึงไตรมาส 4 ปีนี้
สอดคล้องกับ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ "ลดลง" อยู่ที่ 943,000 บาร์เรล สู่ระดับต่ำกว่า 22 ล้านบาร์เรล ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 และยิ่งทำให้ซัพพลายน้ำมันดิบในตลาดโลกต้องเผชิญกับภาวะตึงตัวมากยิ่งขึ้นอีก
โดยประเด็นดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Brent ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.76% และปิดที่ระดับ 96.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งใกล้เคียงระดับปี 2565 ที่ระดับ 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) มีมุมมองต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลก โดยคาดว่ายังตัวปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องของซัพพายน้ำมันในตลาดโลกยังเผชิญภาวะตึงตัวมากยิ่งขึ้น และช่วงนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว “ความต้องการ” (ดีมานด์) น้ำมันยิ่งเพิ่มขึ้น จึงมีโอกาสแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หลังจากนั้นราคาน้ำมันน่าจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น !!
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบโลกยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หนุนให้หุ้นกลุ่มน้ำมันน่าจะได้ประโยชน์สุด เนื่องจากมีสัดส่วน “หุ้นพลังงาน (น้ำมัน)-โรงกลั่น” คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของน้ำหนักมูลค่าตลาดหุ้นไทย โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ดังกล่าว ประกอบด้วย บริษัท ปตท. (PTT) , บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) , บริษัท ไทยออยล์ (TOP) และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เป็นต้น
ดังนั้น ยังมองว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น หุ้นกลุ่มน้ำมันอาจจะรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปบ้างในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้น มองว่าเป็นโอกาสในการทยอยขายทำ “กำไร” หุ้นในกลุ่มพลังงานบางตัวตามทิศทางราคาที่ปรับตัวขึ้นช่วงนี้อย่างหุ้น TOP ส่วนหุ้น PTTEP ยังมีโมเมนตัม ทยอยสะสมได้จากราคาหุ้นยังไม่ปรับขึ้นมามาก และรอขายทำกำไรในจังหวะที่ราคาน้ำมันแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มีมุมมองต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในปี 2566 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันราคาน้ำมันดิบทะลุคาดการณ์เดิม ณ เดือนก.ย. 2566 ไปแล้ว ซึ่งได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2566 อยู่ที่ 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นราคาน้ำมัน มองเป็นบวกกับ “หุ้นกลุ่มพลังงาน” โดยเฉพาะใน “หุ้นพลังงานต้นน้ำ” เช่น หุ้น PTTEP น่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ตามแนวโน้มราคาพลังงานที่คาดว่าจะทรงตัวได้ในระดับสูงหลังซาอุดีอาระเบียตัดสินใจลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบโดยสมัครใจที่ 1 ล้านบาร์เรลและล่าสุดมีการขยายมาตรการดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้
อีกทั้งด้านของ OPEC รายงานตัวเลขอุปทานน้ำมันดิบอาจอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับความต้องการ (ดีมานด์) ราว 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ขาดไปเป็นระดับมากสุดในรอบกว่า 10 ปี
ขณะที่ “หุ้นโรงกลั่น” มีความน่าสนใจเช่นกัน เช่น หุ้น SPRC ที่เห็นค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและได้แรงหนุน ล่าสุด จากการที่รัสเซียประกาศระงับการส่งออกน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน
“ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก หรือ GBX กล่าวว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวของฝั่งตะวันตก แต่จะสามารถยืนได้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นานแค่ไหนตรงดูที่สภาพอากาศ หากหนาวนาน หรือหนาวมาก จะส่งผลให้เป็นปัจจัยหนุนหลัก
ขณะที่หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยตรงจะเป็นหุ้น PTTEP สาเหตุเพราะว่า เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น PTTEP ก็จะขายได้กำไรเพิ่มขึ้นด้วย และกลุ่มโรงกลั่น เช่น หุ้น TOP SPRC BCP และ ESSO ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสต๊อกเกณฑ์หากราคาน้ำมันปรับขึ้นก็จะทำให้มีสต็อกเกณฑ์เข้ามา แต่อาจจะเข้ามาแค่ 1-2 ไตรมาส
ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน มองเป็น “กลุ่มหุ้นโลจิสติกส์” เนื่องจากน้ำมันถือว่าเป็นต้นทุนหลัก ซึ่งช่วงนี้นักลงทุนอาจจะต้องหลีกเลี่ยง เพราะว่าเสียประโยชน์เต็ม ๆ
ดังนั้น บริษัทแนะนำนักลงทุนในช่วงนี้ที่สามารถ Outperform ได้ดีคงหนีไม่พ้นหุ้น “กลุ่มพลังงาน” แต่เป็นการ “เก็งกำไรระยะสั้น” เนื่องจากตลาดช่วงนี้ยังไม่ค่อยสดใสมากนัก ซึ่งตลาดยังอยู่ในช่วง “ขาลง” การที่จะเข้าไปฝืนเทรนด์ตลาดคงทำได้ค่อนข้างยาก แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม
“เอกรินทร์ วงษ์ศิริ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ กล่าวว่า หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวพุ่งมา คาดว่าอาจจะไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ยังคงเป็นแนวต้านที่สำคัญหากพุ่งขึ้นมา 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลแล้ว อาจจะไซด์เวย์สักระยะหนึ่งแถวบริเวณ 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล
ทั้งนี้ เมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ตรงจะเป็นหุ้น PTTEP เนื่องจากราคาขายอิงกับราคาน้ำมันเป็นหลัก และอีกกลุ่มที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ คือ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน เพราะว่ามีสต็อกเกณฑ์ที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ที่จะประกาศผลประกอบการออกมา
ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์จะเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากราคาก๊าซ กับราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์กัน อาจส่งผลให้ราคาก๊าซปรับเพิ่มขึ้นในช่วงระยะสั้นได้ รวมถึงกลุ่มที่ใช้น้ำมันและเชื้อเพลิงเป็นหลัก อย่างกลุ่มโลจิสติกส์ และกลุ่มปั้มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบด้วย
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนจะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ แนะนำ หุ้น PTTEP และ กลุ่มโรงกลั่น อาทิ SPRC TOP BCP และ ESSO ที่สามารถเข้าไปถือได้ แม้ว่า ESSO จะติดทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์แต่มองว่า พอหลุดจากช่วงเทนเดอร์ออฟเฟอร์ออกไปแล้ว ราคาหุ้นน่าจะกลับไปอยู่แถว ๆ บริเวณ 11 บาทได้