เช็ก 20 หุ้นกลุ่ม SET100 รอบ 1 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ บริหารประเทศ ปรับตัวอย่างไร

เช็ก 20 หุ้นกลุ่ม SET100 รอบ 1 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ บริหารประเทศ ปรับตัวอย่างไร

เช็ก 20 หุ้นกลุ่ม SET100 รอบ 1 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ บริหารประเทศ หุ้น ESSO บวกมากสุด 8.16% ด้าน หุ้น BYD ลบมากสุดที่ 36.97% 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ทวีตข้อความในสื่อโซเชียล โดยระบุว่า 30 วันแรกของรัฐบาลประชาชน ครบ 30 วันแรกแล้ว พร้อมแจงผลงานต่าง ๆ แต่ทว่าเมื่อโฟกัสไปที่ตลาดหุ้นจะพบว่า ยังถูกกดดันอยากหนักจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทำให้นักลงทุนแห่เทขาย ส่งผลให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับราคาลดลงมาอย่างมาก 

กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้กับกรุงเทพธุรกิจว่า หนึ่งเดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากนักลงทุนเองมีความคาดหวังกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  ไว้ค่อนข้างที่จะมาก 

ขณะเดียวกันการปรับตัวลดลงของตลาดหากมองย้อนกลับไปเมื่อช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมของการลงทุนในช่วงปลายปีก็จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เรื่องหลัก ๆ คือ ความล่าช้าค่าใช้จ่ายของงบประมาณภาครัฐ แต่ครั้งนี้อาจจะมีปัจจัยเพิ่มเติมขึ้นมาคือ บรรยากาศของการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกแย่ลง ภาพของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในจุดที่มีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดไม่สดใสมากนัก ทั่้งนี้ในช่วง 1 - 2 ไตรมาสที่เข้ามารับตำแหน่งอาจจะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงภาพของโมเมนตัมของเศรษฐกิจได้ทันที

สำหรับหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ในรัฐบาลชุดนี่้ สิ่งที่ยากที่สุดคือยังไม่สามารถมองออกได้ แม้ว่าเราจะสามารถทราบนโยบายบางอย่างแล้ว แต่ยังไม่รู้ขอบเขตของนโบาย อย่างเช่น ขอบเขตของนโยบายดิจิทัลวอเล็ตแน่นอนว่า มีการสร้างกำลังซื้อขนาดใหญ่ แต่ปัญหาก็คือว่า จะสามารถนำไปใช้ในช่องทางใดบ้าง เนื่องจากว่า นโยบายนี้ต้องการสร้างการหมุนรอบของเงิน ซึ่งการจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีการนำเงินไปใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจที่เป็นฐานรากมาก ๆ 

อย่างเช่น อาจจะไปใช้จ่ายกับธุรกิจที่อยู่ระบบฐานภาษี หรืออยู่ในระบบโชห่วย ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นข้อดีคือ จะเกิดการหมุนเงินไหลต่อ แต่ข้อเสียคือ การหมุนของเงินเศรษฐกิจตรงนี้จะได้ไม่ได้หมุนเวียนเข้าไปยังบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตรง หรือในทางกลับกันบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ อาจจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นก็เป็นได้ จากกำลังซื้อ 5.6 แสนล้านบาท จะถูกใช้ไปในระบบที่ไม่ใช้บิ๊กซี หรือโลตัส หรือเซเว่นอีเลฟเว่นเลย แต่กลับไปเข้าระบบโชห่วย อาจจะมีหุ้น CPAXT ที่จะได้ 

แต่ในหุ้น CPAXT นักลงทุนก็ยังมีความกังวลอีกว่า การแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในตลาดค้าส่งจึงทำให้ผู้คนนั้นไม่กล้าที่จะคาดหวัง เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่า ในหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ชัดเจนต่อนโยบายจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร จะนำเงินมาจากไหน และพื้นที่ใช้เงินและขอบเขตที่จะสามารถใช้ได้อยู่ที่ตรงไหน นักลงทุนเองก็ไม่สามารถที่จะประเมินผลดีหรือผลกระทบทางลบได้อย่างชัดเจนได้ 

ขณะเดียวกันการเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่รัฐบาลเห็นแล้วว่า ประชาชนนั้นต่างมีภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างจะมาก จึงมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าเลยกลายเป็นความเสี่ยงเชิงนโยบายกับหุ้นในกลุ่มไฟฟ้าเป็นหลัก 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รอบ 1 เดือนที่รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหาร ถือว่าเป็นช่วงแรกของการเริ่มทำงาน เพราะฉะนั้นการให้คะแนนของตลาดหุ้นต่อรัฐบาลเศรษฐา ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลชุดใหม่ยังคงไม่ได้มีความชัดเจนมากนัก ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณต่าง ๆ ก็ต้องให้ความยุติธรรมกับฝั่งรัฐบาลด้วยที่มีการล้าช้ามาระดับหนึ่งก่อนแล้ว การที่จะใช้มาตรการต่าง ๆ ให้ออกมาทันทีจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เราจะเห็นได้แต่เพียงว่า ในช่วงแรกเป็นนโยบายของการลดค่าใช้จ่าย หรือค่าครองชีพได้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีการใส่เงิน หรือการลงทุน หรือการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินใหม่ ๆ แต่อย่างใด 

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวลงมาเพราะเรื่องการเมืองแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เราจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกต่างพากันลงมาหมดจากทั้งเรื่องบอนด์ยิลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงเรื่องของสงครามอิสราเอลกับฮามาสที่เกิดขึ้นมา 

และหลังจากนี้น่าจะเป็นของจริงมากขึ้น โดยเฉพาะในปลายไตรมาส 4/66 หรือต้นปี 2567 ความอดทนของตลาดหุ้นน่าจะเริ่มลดน้อยลง หลังจากที่รัฐบาลทำงานผ่านไป 3 เดือน หรือ 6 เดือนผ่านไป ถ้ายังไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าที่ออกมากก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มทำโทษมากขึ้นได้ ทั้งนี้ตัวชี้วัดที่สำคัญน่าจะรออยู่ในช่วง 2 -3 เดือนข้างหน้านี้ เป็นต้นไป 

ทั้งนี้หากดูประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด ได้ออกให้ความชัดเจนกับมาตรการของรัฐบาลชุดใหม่พอสมควร ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากก็น้อย แต่จะให้น้ำหนักไปทางมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ โดยกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จะเป็นหุ้นที่อิงกับการบริโภค กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ 

“ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลงมาจากก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถ้าในช่วงถัดไปนโยบายที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ที่จะทำให้มีการเพิ่มรายได้เข้ามามากยิ่งขึ้น จะสามารถเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชนได้มากขึ้น และคาดว่าในช่วงปลายนี้น่าจะมีข่าวดีจากรัฐบาลออกมาอีกในส่วนของมาตรการต่าง ๆ เช่น การลดหย่อนภาษี ที่มีการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย หากงบประมาณต่าง ๆ ยังไม่มีการออกมาอาจจะมีการปรับใช้มาตรการดังกล่าวได้ และค่อยไปคาดหวังในช่วงของงบประมาณในปีหน้าแทน กับนโยบายดิจิทัลวอเล็ต” 

สำหรับนโยบายดิจิทัลวอเล็ตที่ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า รัฐบาลถูกโจมตีค่อนข้างมาก แต่ความคิดเห็นส่วนตัวมองว่า ถ้าไปไม่รอดอาจจะมีการลดจุดยืนของตัวเองลงมาได้ และอาจจะหันมานโยบายการแจกเงินผ่านเป๋าตังที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแผนสำรองที่รัฐบาลสามารถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า นโยบายดิจิทัลวอเล็ตเป็นการชูโรงมาก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลอาจจะต้องทำไปให้สุดทางก่อน

นอกจากนี้สิ่งที่ตลาดหุ้นไทยเคยกังวลในช่วงพรรคก้าวไกลมาแล้วจะได้รับผลกระทบจากมาตรการพลังงาน รวมถึงราคาพลังงานต่างๆ  กลายเป็นว่า พอรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันสักเท่าไร แท้จริงแล้วก็ยังมีการแทรกแซงโดยภาครัฐ และมีการจำกัดราคาคล้ายกับนโยบายพรรคก้าวไกลก่อนหน้านี้ ซึ่งเราก็จะเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวได้โดนทำโทษมาตั้งแต่พรรคก้าวไกลแล้วจนถึงวันนี้ยังหาราคาหุ้นที่เป็นจุดต่ำสุดยังไม่ได้ เพราะในแง่ของมาร์จิ้นก็โดนกดดันไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า 

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นในกลุ่มดัชนี SET100 ว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีหลักทรัพย์ใดบ้างที่ขยับปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากสุด และทรัพย์ใดที่ราคาปรับลงมาแรงสุด 

เช็ก 20 หุ้นกลุ่ม SET100 รอบ 1 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ บริหารประเทศ ปรับตัวอย่างไร

หุ้น SET100 ราคาบวกมากสุดในรอบ 1 เดือน 

 1.บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ  ESSO

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 9.80 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 10.60 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ +8.16%  

2.บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ KCE

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 52.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 55.00 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ +5.77%

3.บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 32.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 33.50 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +4.69% 

4.บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 25.50 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 26.50 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +3.92% 

5.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 38.50 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 40.00 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +3.90% 

6.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 48.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 49.50 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +3.13% 

7.บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 43.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 44.25 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ +2.90%

8.บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 19.60 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 20.10 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +2.55% 

9.บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 5.30 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 5.35 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ +0.94% 

10.บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 61.50 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 62.00 บาท 
  • เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +0.81% 



หุ้น SET100 ราคาลงมากสุดในรอบ 1 เดือน 

 1.บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ  BYD

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 8.15  บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 5.95 บาท 
  • ลดลง 2.20 บาท หรือ -36.97% 

2.บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 8.55 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 5.55 บาท 
  • ลดลง 3.00 บาท หรือ -35.08% 

3.บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 2.80 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 2.04 บาท 
  • ลดลง 0.76 บาท หรือ -27.14% 

4.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ  BGRIM

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 33.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 24.70 บาท 
  • ลดลง 8.30 บาท หรือ -26.99% 

5.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 61.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 46.25 บาท 
  • ลดลง 14.75 บาท หรือ -24.18% 

6.บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 108.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 82.25 บาท 
  • ลดลง 25.75 บาท หรือ -23.84% 

7.บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 2.86 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 2.18 บาท 
  • ลดลง 0.68 บาท หรือ -23.78% 

8.บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 13.30 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 10.20 บาท 
  • ลดลง 3.10 บาท หรือ -23.31% 

9.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 11.40 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 8.80 บาท 
  • ลดลง 2.60 บาท หรือ -22.81% 

10.บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) FORTH

  • ราคาปิด ณ วันที่ 12 ก.ย.66 ที่ 34.00 บาท 
  • ราคาปิด ณ วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ 26.75 บาท 
  • ลดลง 7.25 บาท หรือ -21.32%