ยุค 'ไอพีโอ' สะดุดไร้ความเชื่อมั่น – ราคาต่ำจองแรง

ยุค 'ไอพีโอ' สะดุดไร้ความเชื่อมั่น – ราคาต่ำจองแรง

ความน่าสนใจตลาดหุ้นไทยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนยังเป็นแหล่งระดมทุนที่มีต้นทุนถูกเทียบกับดอกเบี้ยธนาคารสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และขนาดเล็กจนทำให้เป็นอีกสีสันให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่มีสินค้าใหม่เข้ามาให้ลงทุนอย่าง ‘หุ้นไอพีโอ’

แต่ปัจจัยที่ทำให้หุ้นไอพีโอเปรี้ยงปร้างเป็นหุ้นฮอตติดลมบนกลับมีหลายด้านที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญมากกว่าเดิม !!

หลังภาพวัฏจักรหุ้นไอพีโอที่ทยอยเข้าตลาดหุ้นในช่วงนี้กลับเผชิญราคาหุ้นร่วงต่ำจองไม่ใช่แค่ระหว่างการซื้อขายหุ้นวันแรก แต่กลับตั้งแต่วินาทีแรกที่กดปุ่มทำการซื้อขายหุ้นเลยทีเดียว และยิ่งภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อมีแรงขายจากภาพใหญ่ทำให้บรรยากาศหุ้นไอพีโอกลายเป็นจุดอันตรายสำหรับการลงทุนไปแทน

เฉพาะเดือนต.ค. ถือว่าเป็นภาวะตลาดหุ้นขาลง แม้จะรีบาวด์บ้างแต่เป็นปรับฐานเพื่อลงลึกต่อจากต้นเดือนดัชนี 1,476 จุด ดัชนีปรับตัวลดลงทำนิวไลว์ในรอบ 3 ปี โดย 31 ต.ค.66 ดัชนีหุ้นปิดที่  1,379  จุด 

เท่ากับเป็นการปรับตัวลดลงเกือบ  100 จุด หรือ 6.57% ผลกระทบปัจจัยสงครามอิสราเอล  –  กลุ่มฮามาส   และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่ไม่ชัดเจน ทำให้เทขายสินทรัพย์เสี่ยงถือเงินสดหรือไม่โยกเงินสินทรัพย์เสี่ยงน้อยกว่า

 

 

ดังนั้นหุ้นไอพีโอจึงเจอแรงกดดันดังกล่าวอยู่แล้ว บรรยากาศการลงทุนไม่เอื้อ ปรากฏการณ์ราคาหุ้นไอพีโอต่ำจองเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีปัจจัยด้านตั้งราคาหุ้นเกินแวลู  การกระจายหุ้นที่กระจุกตัวที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลไม่กี่คน  และการใช้ผู้ดูแลสภาพคล่องหรือ Market  Marker ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม

      และยังไม่นับรวมด้านพื้นฐานธุรกิจที่เป็นด่านแรกๆ ที่นักลงทุนจะตัดสินใจ 50% ว่าหุ้นดังกล่าวน่าสนใจเข้าไปใช้สิทธิจองหุ้นใส่เงินลงทุนตามที่ได้รับจัดสรรหรือไม่  หรือการเร่งเข้าตลาดหุ้นหลังไฟลิ่งผ่านมีระยะเวลาต้องเข้าตลาด เพื่อไม่ให้ไปติดเกณฑ์ใหม่ที่ปรับเข้มงวดมากขึ้นปี 2567  เช่นกำไร 3 ปี ขึ้นไป

        ด้านตัวกลางทั้ง ที่ปรึกษาการเงิน (FA) ผู้รับประกันการจัดจำหน่าย (Underright ) จำเป็นต้องทำงานเพื่อลูกค้า และคำนึงถึงนักลงทุนที่ได้รับการจัดสรรหุ้นไปภายใต้ราคาหุ้นที่มีความเหมาะสม  การดูแลสภาพคล่องของหุ้นของ Market  Marker ในตลาดตั้งแต่เปิดซื้อขายวันแรกจนจบช่วง Silent period กำหนดห้ามขายหุ้น 6 เดือน

      แต่กลไกดังกล่าวยังมีแทกติก และกลลวงในตลาดหุ้นที่แสวงหากำไรไม่น้อยจนเกิดประเด็นหุ้นไอพีโอหลายบริษัทต่ำจอง – หลุดจองอย่างหนัก ราคาเทขายแทบจะเท่ากับราคาพาร์ทั้งที่เป็นหุ้นใหม่

       จากไอพีโอทั้งหมดเข้ามา 9 บริษัท แบ่งเป็น SET 4 บริษัท และ MAI  อีก 5 บริษัท  ปรากฏราคาหุ้นต่ำจองตั้งแต่ซื้อขายวันแรก  ซึ่งมี 4 บริษัทที่ราคาร่วงหนักวินาทีแรกที่ทำการซื้อขาย ประกอบไปด้วย

        บริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ WINDOW ราคาไอพีโอ 2.10 บาท เปิดที่  2.84 บาท ก่อนจะเจอแรงขายลงมาปิดตลาดที่  1.27 บาท  ลดลง  39.52% ถัดมา บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ MCA  ราคาจอง 3.30 บาท เปิดตลาดราคา  3.00 บาท และปิดตลาดวันแรกที่  2.04 บาท ลดลง 38.18%    

      บริษัท อรสิริ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN  ราคาจอง 1.49 บาท เปิดตลาด 1.29 บาท ปิดตลาดวันแรก 1.09 บาท ลดลง 26.84%   และ บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล  คอร์ปอเรชั่น  จำกัด (มหาชน) หรือ NAM ราคาจอง 7.70 บาท เปิดตลาด 7.40 บาท ปิดตลาดวันแรก 6.65 บาทลดลง  13.63%

ด้วยหุ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นหุ้นที่อาศัยกลไกเอาเปรียบนักลงทุนทุกบริษัทแต่เมื่อเกิดภาวะราคาไอพีโอ “เสียทรง”  แบบไม่สนใจนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นจอง เกิดโดมิโนเอฟเฟกต์ กระทบความเชื่อมั่นไปยังหุ้นไอพีโอรายอื่นพากัน ขายหุ้นจองไม่หมด  ไร้คนจองซื้อ  ราคาหุ้นมีดิสเคาท์สูง และล็อกอัปจำนวนหุ้นแค่บางกลุ่ม   จนกลายเป็นช่วงตลาดไอพีโอไร้เสน่ห์ปริยาย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์