WHART ลุยเพิ่มทุนขยาย ‘คลังสินค้า’ ยึดเบอร์ 1 ‘กองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย’
WHART ลุยเพิ่มทุนขยาย “คลังสินค้า” ยึดเบอร์ 1 “กองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” สะท้อนผ่านมูลค่าตลาดมากกว่า 3 หมื่นล้าน
หนึ่งในทางเลือกของ “นักลงทุน” ที่สามารถตอบโจทย์การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน “ไม่ให้ผันผวนมาก” และ สร้าง “ผลตอบแทน” ได้สม่ำเสมอระยะยาวท่ามกลางสารพัดปัจจัยกระทบต่อการลงทุนในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นการลงทุนใน “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” หรือ “กอง REIT” และกองทรัสต์ที่มีอัตราการเติบโต “โดดเด่น” พร้อมเป็นทางเลือกในการสร้าง Passive Income ชั้นดี !!
คงต้องยกให้ “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท” (WHART) ที่ถือเป็นหนึ่งใน “กองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย” สะท้อนผ่านมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบันที่มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการมากกว่า 1.89 ล้านตารางเมตร หนุนมูลค่าทรัพย์สินรวม หลังลงทุนในปีนี้ เพิ่มแตะ 55,000 ล้านบาท
“อนุวัฒน์ จารุกรสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ WHART ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เป็นนโยบายประจำทุกปี สำหรับ “กองทรัสต์ WHART” ในการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม ! ในการเพิ่มทุนในปี 2566 นี้ เป็นการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม เพื่อขยายอาณาจักรลงทุนในสินทรัพย์ “คลังสินค้า” ระดับพรีเมี่ยม
โดยมุ่งเน้นลงทุนทรัพย์สินทำเลจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์และขนส่งที่สำคัญของไทย มีผู้เช่าที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย (Business Sector) มั่นคงและมีแนวโน้ม “การเติบโต” นอกจากนี้ WHART ยังได้รับเครดิตเรตติ้งในระดับ A (Stable) มาโดยตลอด รวมทั้งได้รับจัดอันดับ ESG 100 จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อีกด้วย
ในปี 2566 กองทรัสต์ WHART เตรียมเพิ่มทุน เพื่อเข้าลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพทั้งในเรื่องคุณภาพทรัพย์สินและทำเลที่ตั้ง พร้อมกลุ่มผู้เช่าแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพย์สินระดับพรีเมี่ยมของกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท
ประกอบด้วย 1.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 เป็นคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit และ General Warehouse พื้นที่เช่า 90,862 ตร.ม. 2.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง โปรเจค 1 เป็นคลังสินค้ำแบบ General Warehouse พื้นที่เช่า 24,310 ตร.ม และ 3.โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม.23 โปรเจค 3 เป็นคลังสินค้า และโรงงานแบบ General Warehouse พื้นที่เช่า 27,724 ตร.ม.
ดังจะเห็นได้ว่าโครงการที่กองทรัสต์เข้าลงทุนปีนี้ มีความโดดเด่นด้าน “ทำเลที่ตั้ง” อยู่ในย่านบางนา-ตราดที่ยังมี “ความต้องการ” (ดีมานด์) มาก เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ใกล้ตัวเมืองกรุงเทพฯ และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ รวมถึงในทำเลยุทธศาสตร์สำคัญ “โครงการ EEC” ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและมีการเติบโตสูงในอนาคต อีกทั้งใกล้ท่าเรือแหลมฉบังและนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ซึ่งการมีทรัพย์สินในทำเลยุทธศาสตร์เหล่านี้ถือเป็นหนึ่งใน “จุดแข็ง” กองทรัสต์ WHART ที่ช่วยสร้างโอกาสให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว
สอดคล้องเสน่ห์ของ กองทรัสต์ WHART ที่มาครบในหลากหลาย “มิติ” ทั้งอยู่ในทำเลดีมานด์สูง ส่งผลให้อัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ในระดับสูง “90%” มาโดยตลอด และยังมี “ผู้เช่า” ที่เอ่ยชื่อออกไปแล้วทุกคนรู้จักดี ! ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เช่าส่วนใหญ่ของกองทรัสต์ WHART เป็นผู้เช่าที่มีสัญญาเช่าระยะยาว ทำให้กองทรัสต์ฯ มีความมั่นคงทางรายได้ “จ่ายเงินปันผล” สม่ำเสมอในอัตราที่ไม่น้อยกว่าเดิม
อีกจุดเด่นที่สำคัญของกองทรัสต์ WHART คือมีการขยายขนาดกองทรัสต์ทุกๆ ปี ส่งผลให้กองทรัสต์มีการเติบโตด้านรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมีกลุ่มผู้เช่าที่หลากหลายถือเป็น “การกระจายความเสี่ยง” (Risk Diversification) ผู้เช่าไม่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป และมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งการที่กองทรัสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีผู้เช่าที่หลากหลายขึ้นในทุกๆ ปี จะลดผลกระทบต่อภาพรวมกองทรัสต์กรณีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
นอกจากการมีผู้เช่าที่หลากหลายแล้ว กลุ่มผู้เช่าของกองทรัสต์ WHART โดยมากยังมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความ “มั่นคง” และมีศักยภาพในการ “เติบโต” อย่างกลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมไปถึงกลุ่มอี-คอมเมิร์ซ โดยการได้ผู้เช่าที่ดีในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ส่งผลให้กองทรัสต์มีรายได้ที่มั่นคงและสร้างประโยชน์ตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ โดยภายหลังจากการเข้าลงทุนครั้งนี้ กองทรัสต์คาดว่าจะสามารถสร้าง “อัตราผลตอบแทนปีแรก” (First Dividend Yield) อยู่ระดับประมาณ 8.23% ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน !
ดังเห็นภาพกองทรัสต์ WHART มีผู้ถือหน่วยสัดส่วน “นักลงทุนสถาบัน” ถึงระดับ 67% “กลุ่มSponsor” สัดส่วน 15% ที่เหลือเป็น “รายย่อย” สัดส่วน 18% สะท้อนกองทรัสต์มีความมั่นคงมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว นอกจากนี้หากเทียบราคาหน่วยลงทุนในปัจจุบันและผลตอบแทนที่จะได้รับสามารถมองเป็น Passive Income ระยะยาว เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Portfolio ของนักลงทุนช่วงที่อาจมีความผันผวนได้เป็นอย่างดี
สำหรับ กองทรัสต์ WHART ได้มีการจ่ายประโยชน์ตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์มาโดยตลอดแม้ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยภายหลังการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมนั้น คาดว่ากองทรัสต์จะสามารถจ่ายประโยชน์ตอบแทน (1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2567) อยู่ที่ประมาณ 0.79 บาท/หน่วย
การเพิ่มทุนในปี 2566 นี้ ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมมีสิทธิสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 1 , 4 และระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 ธ.ค. 2566 ที่ราคาสูงสุด 9.60 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้กับผู้จองซื้อ โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) และสาขาของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อในวันที่ 13 ถึง 15 และวันที่ 18 ธ.ค. 2566 ทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสุดท้าย โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อได้ผ่าน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) , ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)
ท้ายสุด “อนุวัฒน์” บอกไว้ว่า เสน่ห์กองทรัสต์ WHART อยู่ที่ทรัพย์สินมีศักยภาพ ตั้งอยู่บนทำเลดีมานด์สูง ผู้เช่าบริษัทชั้นนำมีชื่อเสียง มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ที่สำคัญคือจ่ายผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง !
คำเตือน: โปรดทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน