อึ้งหนัก! JKN โชว์กำไร Q3 เฉียด 20 ล้าน ส่อถูกประเมินด้อยค่าสินทรัพย์ 717 ล้าน
JKN โชว์กำไร ไตรมาส 3 เฉียด 20 ล้าน ส่อถูกประเมินด้อยค่าสินทรัพย์ 717 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23.8% ส่วนผู้สอบบัญชีขอไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล
กลุ่ม JKN มีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยจำนวนเงิน 2,460.31 ล้านบาท เครื่องหมายการค้าจำนวนเงิน 1,333.31 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการจำนวนเงิน 6,277.65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจด้อยค่า และมีค่าความนิยมจำนวน 717.96 ล้านบาท ที่บริษัทต้องทดสอบ และประเมินด้อยค่าทุกปี สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ๋
บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป(JKN) เปิดผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2566 แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 76% แต่ยังสามารถโชว์กำไรสุทธิได้ต่อเนื่องที่ 19.7 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23.8% ส่วนผู้สอบบัญชีขอไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล และมีแนวโน้มว่าสินทรัพย์ของ JKN อาจถูกประเมินด้อยค่าลงราว 717 ล้านบาท
คำอธิบายงบการเงินของ JKN ระบุว่า งวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมเท่ากับ 2,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 742 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 45.88%
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัท และบริษัทย่อยในแต่ละธุรกิจสำหรับงวด 9 เดือนปี 2566 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรายได้ประเภทเดียวกันจากปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจของบริษัทยกเว้นธุรกิจจำหน่ายสิ่งพิมพ์และรายได้อื่น
1.รายได้สิทธิจากธุรกิจให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการ เพิ่มขึ้นเท่ากับ 38.42%
2.รายได้จากการให้บริการจากธุรกิจบริการโฆษณาเพิ่มขึ้น 2.57%
3.รายได้จากการขายจากธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดลง 24.12%
4.รายได้จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ขององค์กรนางงามจักรวาลเพิ่มขึ้น 100%
5.รายได้อื่นลดลง 45.6%
ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2566 บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 115.47 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 36.2 ล้านบาท หรือ 23.87% ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้มีการเติบโตขึ้นเกือบทุกด้าน ส่วนต้นทุนบริการของธุรกิจการขาย และให้บริการจัดการสิทธิของมิสยูนิเวิร์ส มีผลขาดทุนเนื่องจากเป็นการจัดงานครั้งแรก และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน
จากเหตุผลที่กล่าวมาจึงส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนปี 2566 ปรับลดลง 4.89% จาก 9.38% ในปี 2565 และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารเมื่อเทียบกับรายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้น 22.59% จาก 19.43% ในปี 2565
อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้สอบบัญชีของ JKN ขอไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลในผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 โดยระบุว่า ในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 เนื่องจากกลุ่ม JKN บริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินไม่เป็นไปตามแผน ส่งผลให้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A การผ่อนผันชำระหนี้รวมถึงการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวตามมติผู้ถือหุ้นกู้เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 ถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ อีก 6 รุ่น(Cross Default) ตามข้อกำหนดสิทธิ
นอกจากนี้ยังถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพ และหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินเป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 ทำให้กลุ่ม JKN มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนในงบการเงินรวมเป็นจำนวนเงิน 4,285 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 3,256 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาขอขยายการชำระหนี้สิน และไม่เรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลัน (Call Default) และอยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุนใหม่การปรับโครงสร้างกิจการ และการปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่ ต่อมาในวันที่ 7 พ.ย.2566 ที่ประชุมกรรมการบริษัท มีมติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยในวันที่ 8 พ.ย.2566 บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและในวันที่ 9 พ.ย.2566 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท และกำหนดวันไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 29 ม.ค.2567
ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมดจะส่งผลต่อการเรียกชำระคืนของหนี้สิน และอาจถูกฟ้องร้องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ และหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยพลัน และการจ่ายชำระหนี้สินหมุนเวียนจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการปรับแผน จากสถานการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการจ่ายชำระหนี้สินและการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท
สำหรับประเด็นเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 บริษัทผิดนัดชำระหุ้นกู้รุ่น JKN239A จำนวนเงินต้น และดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609.98 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้รุ่น JKN239A ส่งผลให้เข้าหลักเกณฑ์ เรื่องการผิดนัดชำระตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขอันถือเป็นเหตุผิดนัดของหุ้นกู้รุ่นอื่น ๆ ที่บริษัทออก และยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมด และในวันที่ 4 ก.ย.2566 ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้แจ้งการผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ Cross Default
และวันที่ 27 ก.ย.2566 บริษัทได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวว่าอนุมัติให้เลื่อนการชำระคืนเงินต้นจำนวนเงิน 19.5 ล้านบาทไปเป็นวันที่15 ธ.ค.2566 ส่วนที่เหลือจำนวนเงิน 432.45 ล้านบาทให้ชำระคืนในวันที่ 23 ก.พ.2567 และปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจากเดิม 6.6% ต่อปีเป็นอัตรา 7% ต่อปี และผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติขอผ่อนผันให้การผิดนัดชำระเงินต้น และดอกเบี้ยในวันครบกำหนด ไถ่ถอนวันที่ 1 ก.ย.2566 ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนด และไม่เรียกชำระหนี้ตามหุ้นกู้โดยพลัน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2566 บริษัทได้รับหนังสือจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเรียกให้บริษัทชำระเงินต้นหุ้นกู้ และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัททั้งหมด
ทั้งนี้ ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20 ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.2566 ถึง 30 ก.ย.2566 บริษัทไม่สามารถจ่ายชำระหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินตามเงื่อนไขในสัญญาจำนวน 3 แห่งจำนวนเงิน 54.64 ล้านบาท และในเดือนก.ย.และต.ค.2566 บริษัทได้รับหนังสือเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้บางส่วนที่ครบกำหนดชำระแล้ว ตามสัญญาจากสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามในเดือนก.ย.บริษัทได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้กับสถาบันการเงิน 3 แห่ง และขอให้สถาบันการเงินไม่เรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้ทั้งหมดทันที แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้หนังสือยืนยันจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 บริษัทยังไม่ได้ตั้งประมาณการความเสียหาย และดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่อาจเกิดขึ้นในงบการเงิน
กลุ่ม JKN มีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยจำนวนเงิน 2,460.31 ล้านบาท เครื่องหมายการค้าจำนวนเงิน 1,333.31 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการจำนวนเงิน 6,277.65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจด้อยค่า และมีค่าความนิยมจำนวน 717.96 ล้านบาท ที่บริษัทต้องทดสอบและประเมินด้อยค่าทุกปี สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ
สถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบและมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท และอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์ และหนี้สินที่มีสาระสำคัญในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ
อย่างไรก็ตามทาง JKN ชี้แจงว่า การที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลของบริษัทในผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหารแต่เกิดจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญตามสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์