สำรวจ 9 หุ้นยอดนิยม น่าผิดหวังงบโตกระฉูด แต่ราคา YTD ดิ่งหนักสุดกว่า 40%
สำรวจ 9 หุ้นยอดนิยมใน SET100 น่าผิดหวังงบโตกระฉูดแต่ราคา YTD กลับติดลบอย่างหนัก หุ้น MBK กำไร 9 เดือน ปี 66 โตมากสุด 1,258 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,458.32% แต่ผลตอบแทนราคา YTD -11.30%
ผลการดำเนินงานช่วงเวลา 9 เดือนปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี SET100 ซึ่งเป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุน หลายหลักทรัพย์มีผลประกอบการที่เติบโตมากเมื่อเทียบกันในช่วงเดียวกันของปี 2565 แต่ทว่า ผลอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2566 กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจ 9 หุ้นยอดนิยมใน SET100 น่าผิดหวังงบโตกระฉูดแต่ราคา YTD กลับติดลบอย่างหนัก
1.บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 1,258.26 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 80.75 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 1,177.51 ล้านบาท หรือ +1,458.32%
- ผลตอบแทนราคา YTD -11.30%
2.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 3,216.46 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 1,327.86 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 1,888.6 ล้านบาท หรือ +142.23%
- ผลตอบแทนราคา YTD -39.73%
3.บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 5,854.65 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,946.45 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 2,908.2 ล้านบาท หรือ +98.70%
- ผลตอบแทนราคา YTD -25.80%
4.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 4,760.27 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,488.42 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 2,271.85 ล้านบาท หรือ +91.30%
- ผลตอบแทนราคา YTD -4.55%
5.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 4,422.99 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,375.71 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 2,047.28 ล้านบาท หรือ +86.18%
- ผลตอบแทนราคา YTD -13.95%
6.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 10,095.22 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 6,011.92 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 4,083.3 ล้านบาท หรือ +67.92%
- ผลตอบแทนราคา YTD -18.55%
7.บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 1,242.28 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 772.55 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 469.73 ล้านบาท หรือ +60.80%
- ผลตอบแทนราคา YTD -34.78%
8. บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 1,635.77 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 1,026.59 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 609.18 ล้านบาท หรือ +59.34%
- ผลตอบแทนราคา YTD -14.56%
9.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC
- กำไร 9 เดือน ปี 66 อยู่ที่ 3,679.78 ล้านบาท
- กำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,448.01 ล้านบาท
- เพิ่มขึ้น 1,231.77 ล้านบาท หรือ +50.32%
- ผลตอบแทนราคา YTD -42.22%
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ก่อนหน้านี้ช่วงต้นปี 2566 นักวิเคราะห์มีการตั้งเป้ากำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการเติบโตในระดับที่สูงมาก หากนำ SET100 เป็นตัวตั้ง สิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า EPS จะอยู่ที่ระดับ 140 บาทต่อหุ้น ในช่วงต้นปี 2566 ถือว่าใกล้เคียงกับปีที่แล้วอยู่ที่ 144 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงที่เปิดตลาดมาของปี 2566 บริษัทจดทะเบียนน่าจะยังไม่ได้มีผลกำไรมากนัก หลังจากนั้นตลาดหุ้นเริ่มประสบกับสุญญากาศการเมือง ที่มีการจัดตั้งล่าช้า รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ จึงทำให้สถานการณ์กำไรถูกลดทอนลงมา ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 113 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมาค่อนข้างแรงมาก หรือลดลงมากว่า 20%
อย่างไรก็ตามแม้ว่า จะมีบางบริษัทที่ EPS ไม่ได้ลงมากับตลาดหุ้นไทย หรือบางบริษัทอาจจะมีการอัพเกรดเพิ่มขึ้น แต่ถือว่าค่อนข้างน้อยมาก ถ้าเทียบกับดัชนีหลักในปัจจุบัน
ส่วน Naked Short ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่ แต่ Short Sell มีมาตลอดอยู่แล้ว แต่ในอดีตไม่ได้มีประเด็นเกิดขึ้น ในแง่ของมูลค่าก่อนหน้าอาจจะมากกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยสัดส่วนการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันค่อนข้างต่ำมาก วันละ 30,000 - 40,000 กว่าล้านบาท จึงทำเงการ Short Sell และอิทธิพลเหมือนจะเยอะขึ้น
“แต่ก่อนมี Short Sell และมีคน Bid สู้เข้ามา หรือตั้งรอซื้อ แต่ ณ ปัจจุบัน การรอซื้อ การตั้งซื้อ การ Bid มันหายไปเลย จึงทำให้เป็นตัวกดดันดัชนีได้โดยง่าย”
อย่างไรก็ตาม มองว่า ในอนาคตดัชนีหุ้นไทยน่าจะไม่มีการทำ LOW ใหม่ ที่ลงไปแถวบริเวณ 1,366 จุด น่าจะเป็น LOW ของรอบนี้แล้ว เพียงแต่ว่า การปรับขึ้นในช่วงนี้ หากไม่มีสภาพคล่องเข้ามาจะเป็น Sideway แบบค่อย ๆ ทยอยปรับขึ้นมา ทำให้การเก็งกำไรค่อนข้างยาก ซึ่งหุ้นที่สามารถเข้าไปลงทุน Buy and Hold ในช่วงถัดไป ค่อนข้างแข็งแกร่ง อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น หลังจากรัฐบาลเข้ามาลดค่าครองชีพต่าง ๆ อย่าง นโยบาย e-Refund ที่จะมีการประชุมครม.ในวันที่ 28 พ.ย.66 ที่จะใช้ในต้นปีหน้า
ณัฐ ตรีพูนสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงต้นปี SET INDEX ช่วงต้นปี 2566 ตลาดคาดการณ์ว่า กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS จะอยู่ที่ประมาณ100 กว่าบาทต่อหุ้น เช่น เมื่อคูณกับ P/E 16 เท่าจะออกมาประมาณ 1,600 จุด แต่พอมาถึงวันนี้ EPS ของตลาดเหลือแค่ 85 บาท พอนำ 85 บาท ไปคูณกับค่า P/E ที่เหมาะสม Target Price หรือ ประมาณการราคาเป้าหมายใน 1 ปีข้างหน้า ทำให้ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะ จึงเป็นปัจจัยที่กดดัน SET INDEX ลงมา
ทั้งนี้ ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเป็นลบ เหตุผลเพราะว่า สภาพคล่องในตลาดปรับตัวลดลง เช่น ช่วงหุ้นแตกพาร์ท จะเห็นได้ว่าหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา เพราะสภาพคล่องสูงขึ้น แต่พอมาวันนี้มูลค่าการซื้อขายต่อวันมีจำนวนที่ลดลง ดังนั้นจึงเป็นทิศทางตรงกันข้ามว่า ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ราคาก็จะมีการลดลงมา เ
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม 2566 อาจจะมีความคาดหวังว่า อาจจะเกิดนักลงทุนสามารถคาดหวัง Window Dressing ได้ เพราะผลการดำเนินงานของ SET INDEX ค่อนข้างแย่ รวมถึงกองทุน TESG จะเข้ามาช่วยเหลือต่อตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
“ตลาดหุ้นไทยยังคงต้องลุ้นต่อในเดือนธ.ค. เพราะในวันที่่ 30 พ.ย 66 นี้จะมีการปรับน้ำหนักของ MSCI ซึ่งหุ้นไทยโดนลดน้ำหนักมาพอสมควรเหมือนกัน”
ขณะที่ในส่วนของ Short Sell ต้องยอมรับว่ามีเกิดขึ้นทั่วโลก มีการให้ทำ Short Sell หากหุ้นตัวใดที่มีแนวโน้มผลประกอบการไม่ดี ก็จะทำให้มีการทำ Short Sell ออกมาเพื่อเป็นตัวเร่ง ดังนั้นจึงคิดว่า Short Sell ไม่ใช่ปัญหา แต่ Naked Short ยังคงเป็นปัญหา หากมีการเกิดขึ้นจริง ความไม่เท่าเทียมจะเกิดขึ้น เพราะรายย่อยไม่สามารถทำ Naked Short ได้ รวมถึงกองทุนรวม ไม่สามารถทำ Naked Short ได้เช่นกัน มีแต่ต่างชาติที่ทำได้และทำได้เลย โดยที่ไม่ต้องสนใจว่า จะมีหุ้นตัวนั้นให้ยืมหรือไม่ ซึ่งสามารถดูดกำไรของคนไทยออกไปได้เรื่อย ๆ แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า มีการทำจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Naked Short เป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถไปควบคุมได้ จึงอยากให้นักลงทุนพยายามสังเกตความผิดปกติของหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน แต่เชื่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้พยายามอย่างเต็มที่ ซึี่งในต่างประเทศมีการใช้โรบอตเทรดมาสักพักหนึ่งแล้ว นักลงทุนอาจจะต้องไปศึกษาในส่วนนี้ดูว่า เราจะสามารถฉวยโอกาสในจุดเปลี่ยนตรงนี้ได้อย่างไร