‘โลกแดง อเมริกาเขียว : หนีร้อนมาพึ่งเย็น?’
ภาพรวมภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของโลกเราควรใช้พิจารณาการลงทุนในอนาคต แม้ความเชื่อมั่นในปัจจุบันจะพุ่งมาที่บริษัทชั้นนำในอเมริกา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ cryptocurrencies แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราวเท่านั้น
สัปดาห์นี้บรรยากาศของการลงทุนในตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกายังแสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่วิเคราะห์ว่าธนาคารกลาง (FED) จะลดดอกเบี้ยเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป อาจจะลดทีละน้อย 3-4 ครั้ง รวมกันลดดอกเบี้ยทั้งสิ้นประมาณ 1.25%
รายงานล่าสุดสถานการณ์เงินเฟ้อและเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของอเมริกาออกมาตามที่คาดหวังไว้ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 อัตราเงินเฟ้อที่ 3.2% และอัตราคนว่างงาน 3.9%
อีกทั้งปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกดูเหมือนจะไม่เพิ่มความตึงเครียดมากกว่าปัจจุบัน และหลายคนมั่นใจว่าปีนี้ซึ่งเป็นปีแห่งการเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐ จะทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติหาทางประนีประนอมในเรื่องใหญ่ เช่น งบประมาณของรัฐบาลกลาง หรือ นโยบายการทหารในสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียและอิสราเอลกับกาซ่า
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำโดยเฉพาะด้านปัญญาประดิษฐ์(AI)เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความคึกคักและดึงเงินเข้าในตลาดมาก ทำให้ดัชนีพุ่งแรงสูงเป็นประวัติศาสตร์
NVIDIA (NVDA) กลายเป็นแชมป์แห่งความนิยม ราคาหุ้นภายในหนึ่งปีขึ้น 270% ทำให้มูลค่าของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจัดว่าเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สามของโลก (Microsoft3.16 ล้านล้านเหรียญ,Apple2.67 ล้านล้านเหรียญ)
บริษัทอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์เช่น semiconductors ต่างๆก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย TSM+56% ,AMD+122% ในหนึ่งปี อย่างไรก็ตามที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือความนิยมของ cryptocurrencies กำลังมาแรงมากโดยเฉพาะBITCOIN+176%,Ethereum+122% ในหนึ่งปีเป็นต้น
และราคาทองคำขยับขึ้นมาสูงมากตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ จนปัจจุบันอยู่ในราคาประมาณ 2,177 เหรียญต่อหนึ่งออนซ์ (เพิ่มขึ้น 17.8% ในหนึ่งปี)
คำถามคือความเชื่อมั่นเหล่านี้และเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามาซื้อสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาจากไหน และตลาดจะอยู่คงทนอย่างนี้ไปอีกนานเท่าใดและเป็นผลดีต่อบรรยากาศแห่งการลงทุนในตลาดหุ้นหรือเวทีใหญ่ต่างๆ ในโลกอย่างไร หรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญทางตะวันตกส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าเงินที่เข้ามาซื้อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ย้ายถ่ายเทมาจากที่อื่นซึ่งผู้บริโภคและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น สหรัฐได้รับผลประโยชน์แต่อาจเป็นเพียงแค่ชั่วคราว
เศรษฐกิจของจีนยังเป็นปัญหาอยู่ โดยเฉพาะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ต่างๆ ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดได้ ซึ่งมีการประเมินว่ากว่า 40% ของบริษัทเหล่านี้ผิดนัดการชำระหนี้ และธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ในจีนซึ่งมีภาระผูกพันโดยตรงกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้อยู่ในภาวะที่กำลังลำบาก จึงทำให้มีการคาดคะเนว่ามูลค่าของธนาคารจีนจะลดลง
การแถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังไม่ชัดเจนว่าจะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันเวลาหรือไม่ และยังมีถ้อยคำบางอย่างที่นักรัฐศาสตร์ให้ความสนใจมากเรื่องไต้หวัน ถึงขั้นหลายคนออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวันอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามบริษัทเทคโนโลยีของจีนยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในสหรัฐ โดยหลายสถาบันให้ความเห็นว่าโอกาสในการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีในจีนโดยเฉพาะในเรื่องปัญญาประดิษฐ์นั้นเป็นเป้าหมายที่น่าลงทุน
นอกจากจีนแล้วอีกสองแห่งที่นักลงทุนและผู้วางนโยบายระยะยาวให้ความสนใจมากคืออินเดียและเม็กซิโกสังเกตจากการพัฒนาโครงสร้างอุตสาหกรรมหลักต่างๆ และการเดินทางไปเยี่ยมเยือนสองประเทศเหล่านี้โดยผู้นำของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะใช้สองประเทศนี้ทดแทนสิ่งที่จีนเคยตอบสนอง เช่น การผลิตและการบริโภค
ปีค.ศ. 2023 สหรัฐอเมริกาซื้อสินค้าจากจีนลดลง 20% ที่ 427.2 พันล้านเหรียญ และหันไปซื้อสินค้าทดแทนจากเม็กซิโก ยุโรป เกาหลีใต้ อินเดีย แคนาดา และเวียดนาม
ปี ค.ศ. 2023เม็กซิโกขายสินค้าให้สหรัฐฯที่ 475.6 พันล้านเหรียญ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น
ปี ค.ศ. 2022 สหรัฐซื้อสินค้าจากอินเดีย 85.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มจากปี 2021 16.7%
ปี ค.ศ. 2022 สหรัฐซื้อสินค้าจากเวียดนาม 127.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มจากปี 2021 25.1%
ปี 2022 สหรัฐซื้อสินค้าจากเกาหลีใต้ 115.4 พันล้านเหรียญ เพิ่มจากปี 2021 21.3% (ไทยส่งสินค้าไปสหรัฐปีค.ศ. 2022 47.19 พันล้านเหรียญ, ปีค.ศ. 2021 41.22 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 14.4% )
หันมามองทางยุโรปสถานการณ์ทั่วไปยังน่าเป็นห่วงเนื่องจากเศรษฐกิจไม่เติบโตเท่าที่ควรเช่น ปีค.ศ. 2023 เศรษฐกิจของประชาคมยุโรปโตขึ้นเพียงแค่ 0.5% และปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ตกคือราคาพลังงานสูง ต้นทุนของการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และผลผลิตอุตสาหกรรมของประเทศใหญ่ เช่น เยอรมนีไม่ตรงตามเป้าซ้ำเติมกับปัญหาปีนี้เรื่องการขนส่งทางเรือที่ติดขัดบริเวณทะเลแดง (Red Sea) ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เชื่อมต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป เพิ่มต้นทุนของสินค้าและความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามปัจจุบันประชาคมยุโรปโชคดีที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ 2.9%
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประชาคมยุโรปที่ 0.5% นั้น เปรียบเทียบกับการเติบโตของอเมริกาในปีเดียวกันที่ 2.5% ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปหลายอย่าง
สงครามใหญ่สองแห่งเกิดขึ้นใกล้กับประชาคมยุโรปมากกว่าอเมริกา จึงทำให้เป็นปัจจัยสำคัญของการโยกย้ายการลงทุนออกจากยุโรปไปหาพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นที่ลดลงในภูมิภาคอื่นของโลกรวมทั้งในบางส่วนของเอเชีย จึงทำให้ตลาดหุ้นในอเมริกาได้รับผลประโยชน์โดยตรง
ภาพรวมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของโลกที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่เราควรใช้พิจารณาการลงทุนในอนาคต แม้ความเชื่อมั่นในปัจจุบันจะพุ่งมาที่บริษัทชั้นนำในอเมริกา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ cryptocurrencies แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราวเท่านั้น
การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการที่ใช้ได้เสมอและไม่ควรถูกลืม การลงทุนโดยรอบคอบในสิ่งที่ผู้ลงทุนเข้าใจลึกซึ้งและมีความเชี่ยวชาญควรเป็นปัจจัยที่นำมาใช้พิจารณาครับ