‘พีทีจี’ ยอดขายออลไทม์ไฮ ดัน ‘มาร์เก็ตแชร์’ น้ำมันเป็น 21.8%
“พีทีจี” เผยยอดขายน้ำมันสร้าง “สถิติออลไทม์ไฮ” 1.72 พันล้านลิตร ด้านรายได้ไตรมาส 1 ปี 67 แตะ 5.49 หมื่นล้าน “กำไร” 264 ล้านบาท ครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการเป็น 21.8% ขณะที่ยอดขาย “แอลพีจี” คงสูงต่อที่ 172 ล้านลิตร
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2567 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 264 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.16 บาทต่อหุ้น ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 54,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 50,936 ล้านบาท
โดยปัจจัยหลักจากธุรกิจน้ำมันมีรายได้ 50,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องเป็น 1,720 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 16.7% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ทั้งจากลูกค้าใหม่ และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus
รวมถึงปัจจัยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลและวันหยุด ส่งผลให้ครองส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการเพิ่มเป็น 21.8% จากไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 19.2% โดยมีสถานีบริการน้ำมัน PT ณ 31 มี.ค. 2567 ที่ 2,199 สถานี
ส่วนของธุรกิจ Non-Oil มีรายได้ 4,050 ล้านบาท เติบโต 28.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากธุรกิจก๊าซ LPG มีรายได้ 2,288 ล้านบาท เติบโต 17.9% เนื่องจากมีปริมาณการจัดจำหน่ายก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 14.3% เป็น 172 ล้านลิตร ราคาขายเฉลี่ยที่ 13.26 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 3.1%
โดยบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับ 1 ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ 28.8% มีจำนวนสถานีบริการ Auto LPG ที่จำนวน 243 สถานี ขณะที่กลุ่มครัวเรือนและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 51 ล้านลิตร
ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยรายได้ 494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากขยายสาขา ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีสาขาทั้งสิ้น 947 สาขา เพิ่มขึ้น 66.1% ประกอบกับมีการกลับมาซื้อซ้ำลูกค้ารายเดิม และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ธุรกิจ Autobacs มีสาขาอยู่ที่ 83 สาขา เติบโต 69.4% มีรายได้ 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.2% เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวม 2,211 สาขา เพิ่มขึ้น 585 สาขา เติบโต 36.0% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil เท่ากับ 868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 24.5% จากกำไรขั้นต้นทั้งหมด
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ปี 2567 คงวางเป้าจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 10-12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และขยายสถานีบริการไว้ที่ 2,251 สถานีบริการ เพิ่มขึ้น 50 สถานีบริการจากปีก่อนหน้า รวมถึงยกระดับการให้บริการ ด้วย PT Service Master ที่คอยให้บริการแนะนำลูกค้า และมีการใช้ข้อมูลจากฐานสมาชิกกลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card, PT Max Card Plus, แอปพลิเคชัน Max Me และแพลตฟอร์ม Max Enterprise Connect (MEC) มาวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันตรงตามความต้องการลูกค้ามากที่สุด มุ่งสู่เป้าหมายขยายส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกสถานีบริการไม่ต่ำกว่า 25% ในปี 2570
ธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางเป้าเติบโตต่อเนื่องระดับ 40-50% หลักๆ มาจากธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยปีนี้เป็นปีแห่ง “Network Expansion” ซึ่งจะเน้นการขยายผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ขยายสาขาต่อเนื่อง ปีนี้จะขยาย 400 สาขา 2.ขยายการรับรู้ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ผ่านการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และ 3.เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ผลิตต้นน้ำเพื่อการเติบโตยั่งยืน มุ่งสู่จำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศในปี 2570
ธุรกิจก๊าซ LPG ตั้งเป้าเติบโตยอดขายปี 2567 ไว้ที่ 30-40% จาก 1.กลุ่ม Auto LPG เน้นงานบริการเพื่อส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิกบัตรกลุ่ม PT Max Card และ PT Max Card Plus เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า
2.กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมโดยรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้า และ 3.เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา เดิมมีอยู่ 573 สาขาในปี 2566 โดยเป็นการขยาย Gas Shop เป็นหลัก
ธุรกิจอื่นๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints ต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ เป็น 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยการขยายสาขาจำนวนหลักๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT รองรับแนวโน้มการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่สูงขึ้น
รวมถึงการเปิดตัวบัตรแมกซ์การ์ด พลัส อีวี เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ผู้ใช้ EV โดยเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อ Max World Ecosystem ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากการขยายจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังวางเป้าขยาย Touchpoints ในธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ อาทิ ธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น