ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งผู้กระทำความผิด 3 ราย อินไซด์ขายหุ้น SQ

ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งผู้กระทำความผิด 3 ราย อินไซด์ขายหุ้น SQ

ก.ล.ต. เผยลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 ราย กรณี อินไซด์ขายหุ้น SQ สร้างมูลค่าความเสียหายรวมเฉียด 4 ล้านบาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ นางเพ็ญประภา ศิริสรรพ์ นางสาวสาธิดา ศิริสรรพ์ และ นายสุรพล อ้นสุวรรณ กรณีขายหุ้นบมจ. สหกลอิควิปเมนท์ (SQ) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน และกรณีช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการขายหุ้น SQ แก่บุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินรวม 3,954,801 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย

ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) พบบุคคลที่กระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับการขายหุ้น SQ โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ SQ ในไตรมาส 3 ปี 2562 ซึ่งขาดทุนสุทธิเป็นจำนวน 266.30 ล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนมากที่สุดตั้งแต่ SQ ได้นำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 เนื่องจากรายได้จากการให้บริการลดลง และต้นทุนการให้บริการสูงขึ้น

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมของ ก.ล.ต. พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 8 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นางเพ็ญประภา ซึ่งเป็นภรรยาของผู้บริหารและกรรมการของ SQ และในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาองค์กรและบุคลากรที่ SQ จึงเข้าข่ายเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในดังกล่าว ได้ขายหุ้น SQ ของตนรวมจำนวน 3,853,600 หุ้น ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวสาธิดาซึ่งเป็นบุตรสาว โดยนางสาวสาธิดาได้ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกโดยยินยอมให้นางเพ็ญประภาใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ขายหุ้น SQ

รวมทั้งพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 7 – 8 พฤศจิกายน 2562 นายสุรพล ซึ่งเป็นเลขานุการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายงบประมาณจัดหาเงินทุนของ SQ จึงเข้าข่ายเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในดังกล่าว ได้ขายหุ้น SQ รวมจำนวน 39,000 หุ้น ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตน

ดังนั้น การกระทำดังกล่าวเป็นผลให้นางเพ็ญประภาและนายสุรพลสามารถหลีกเลี่ยงผลขาดทุนจากราคาหุ้น SQ ที่ลดลงภายหลังที่ SQ เปิดเผยข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2562 ที่มีผลขาดทุนสุทธิต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.10 น.

การกระทำของนางเพ็ญประภา เป็นความผิดตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 244(5) ส่วนการกระทำของนางสาวสาธิดาเป็นความผิดตามมาตรา 315 ประกอบมาตรา 242(1) และการกระทำของนายสุรพลเป็นความผิดตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 243(2) ซึ่งบุคคลทั้งสามรายมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ กับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้

(1) ให้นางเพ็ญประภา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,423,419 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

(2) ให้นางสาวสาธิดา ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 760,714 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 8 เดือน

(3) ให้นายสุรพล ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 770,668 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง