‘กองทุน’ ลุยปรับพอร์ตใหม่ ส่งซิกเก็บ ‘หุ้นไทย’ รับข่าวดี
ตลาดหุ้นไทย ครึ่งหลังปี 2567 ในสายตา “นักลงทุนสถาบันในประเทศ” หรือ “กองทุน” ยังมีมุมมอง “เชิงบวก” กับ “กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์” จาก “ปัจจัยนอกประเทศ” มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากกว่าปัจจัยในประเทศ
ภายใต้ "ภาพเศรษฐกิจโลกค่อยๆ ฟื้นตัว" เห็นภาพการปรับประมาณขึ้นต่อเนื่อง เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวลดลง และเริ่มลดลงดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แม้ยังเกินเป้าหมายของธนาคารกลางที่ตั้งไว้ แต่โดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดี
ธนาคารกลางชั้นนำอย่าง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มลดดอกเบี้ยนำไปแล้ว และจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งล่าสุด สะท้อน “วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกใกล้สิ้นสุด” ตลาดยังหวังเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ ช่วงครึ่งหลัง 1-2 ครั้ง เทียบกับปัจจัยในประเทศ “ยังรอ” ความชัดเจน ทั้ง “เสถียรภาพการเมือง” และ “นโยบายเศรษฐกิจ” มาขับเคลื่อน รวมถึง “มาตรการสร้างความเชื่อมั่น” ในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น “กลยุทธ์ลงทุนครึ่งหลัง" จังหวะนี้เริ่มเห็น กองทุน ชิงปรับพอร์ตทยอย "เพิ่มน้ำหนัก" หุ้นไทย
"นิสารัตน์ ชมภูพงษ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บลจ.ดาโอ กล่าวว่า “เพิ่มน้ำหนัก” หุ้นกลุ่ม “ส่งออก” ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และค่าเงินอ่อนค่า ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์, อาหารสัตว์, อาหาร, ท่องเที่ยว และ “ลดน้ำหนัก” กลุ่มหุ้นที่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจในประเทศอาจยังชะลอตัวอยู่ ภาระหนี้ครัวเรือนสูง เช่น การเงิน, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
แน่นอนหากมองที่มูลค่า (Valuation) ของหุ้นไทย ถือว่า “เริ่มน่าสนใจมากขึ้น” ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,300 จุด ซื้อขายกันที่ระดับ forwarded PE14 เท่า มองว่า “ต่ำกว่า” ค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5-10 ปี อยู่ที่ 15.5-16 เท่า
รวมทั้ง ในแง่กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) หลังถูกปรับลดมาต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มเห็นเป็น Earning Surprise บ้าง มาตั้งแต่งบไตรมาส 1 ปี 67 และหากมีความแน่ชัด ทั้งเสถียรภาพการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยปรับตัวดีขึ้น น่าจะช่วยตลาดหุ้นไทย “ยัง” ปรับตัว “ขึ้น” ได้ต่อ
เราคาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,400-1,450 จุด แนะนำนักลงทุนรับความเสี่ยง และถือยาวได้ ตอนนี้เป็นจุด “ทยอยสะสม” รับนโยบายรัฐที่ออกสนับสนุนฟันด์โฟลว์ภายในประเทศจากเพิ่มวงเงิน ThaiESG เป็น 3 แสนบาท , ศึกษานำกองวายุภักษ์กลับมาใช้, เริ่มใช้ uptick rule เริ่ม ก.ค.นี้ มองมาตรการเหล่านี้จะช่วยจำกัดขาลงตลาดหุ้นไทย
“เชาวน์กร โชติบัณฑ์” Head of Investment Strategy บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ตอนนี้หุ้นไทยทยอยลงทุนได้ เน้น “คัดเลือกหุ้นรายตัวแบบผสมผสานธีมหุ้นได้ประโยชน์ทั้งปัจจัยภายใน และนอก”
เพิ่มน้ำหนัก “ธีมหุ้น 3 กลุ่ม” คือ 1.Bottom Fishing (Domestic) เป็นหุ้นที่ระดับราคาปรับตัวลงมา และผลประกอบการยังเติบโต ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ และท่องเที่ยว 2.Earning Momentum เป็นหุ้นที่ผลประกอบการโตโดดเด่น ได้แก่ อาหาร, อิเล็กทรอนิกส์ และเฮลท์แคร์ 3.Oil-Play เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้นตัว ได้แก่ พลังงาน ด้านสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ,โรงกลั่น
“แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แต่พบว่ายังมีหุ้นหลายตัวที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด และคาดดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 3 นี้มีปัจจัยหนุนหลักทั้งรัฐเร่งเบิกจ่าย การเมืองชัดเจนขึ้นยังมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ การสนับสนุนให้เที่ยวเมืองรอง ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศดีขึ้นจากนั้นมองผลประกอบการกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก อาหาร ท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง”
คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ ระดับปกติที่ 1,400 จุด EPSที่ 92 บาทต่อหุ้น และPE 15.3 เท่า
"ศิระ คล่องวิชา" ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า ราคาหุ้นไทย ที่ปรับตัวลดลงมามากทำให้ valuation ของตลาดมีความน่าสนใจมากขึ้น ปัจจุบันดัชนีฯ ซื้อขายบนค่าพีอีที่ประมาณ 14.5 เท่า ในครึ่งปีหลังคาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะสามารถรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งปีหลังนี้
หมวดธุรกิจที่กองทุนยังคงให้น้ำหนักการลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง อาหาร และเงินทุน และหลักทรัพย์ เป็นต้น ในขณะที่หมวดธุรกิจที่กองทุนให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยกว่าตลาด ได้แก่ หุ้นหลุ่มพลังงาน สื่อสาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์