"สมโภชน์” แจงขายหุ้น EA ปัดฟอร์ซเซล จับคู่ปิดตลาดหลังข้อมูลไม่ตรงกับตลท.

"สมโภชน์” แจงขายหุ้น EA ปัดฟอร์ซเซล จับคู่ปิดตลาดหลังข้อมูลไม่ตรงกับตลท.

“สมโภชน์” ชี้แจงทำรายการปกติผ่านตลาดนอกเวลาแบบมีผู้ซื้อผู้ขายจริงไม่ใช่ฟรอซ์เซลและรับเป็น กลุ่มเดียวกันเพื่อปรับโครงสร้าง หลังตลท. ชี้ประเด็นหุ้น EA รายงานการขาย 14 ล้านหุ้นไม่เคลียร์ จาก auto -machine หรือ ATC

ทั้งนี้ทาง บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้มีการชี้แจงผ่านระบบตลท. ระบุได้ทำการขายหุ้น นายสมโภชน์ อาหุนัย 14.69 ล้านหุ้น เป็น ATC  ไม่ใช่การบังคับขายหรือ Forced Sell   

โดยไม่กระทบการถือครองหุ้นและเพื่อไม่กระทบต่อราคาหุ้นในกระดานและกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย การทำการซื้อขายจะทำผ่านกระดาน Big lot หรือราคา ATC เท่านั้น เพราะหากเป็นการถูก Forced Sell การขายหุ้นจะต้องทำผ่านระบบ Market Matching เท่านั้น 

 

สำหรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในกลุ่มเดียวกันนั้น รวมถึง Sotus & Faith Limited, นายชัยวิทย์ อรุณเนตรทอง, นางสาวสิริลักษณ์อรุณเนตรทอง และบริษัท เอสพีบีแอล โฮลดิง จำกัด เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน โดยสมัครใจ ซึ่งจะเหมือนเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ที่โอนหุ้นของ EA จากไปอยู่ภายใต้ ชื่อ Sotus & Faith Limited โดยยังคงถือหุ้นรวมในสัดส่วนเท่าเดิม ทั้งนี้ จะดำเนินการแจ้งต่อ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นลำดับถัดไป

พร้อมยืนยันว่ากระบวนการ Forced Sell ได้เสร็จสิ้นไปแล้วตามที่ได้มีการแถลงไปก่อนหน้านี้และไม่มีหุ้นที่มีความเสี่ยงที่จะโดน Forced Sell เหลืออีกแล้ว

    ด้านนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ EA เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าการแจ้งรายการขายหุ้นถูกต้องและไม่ได้เข้าใจคลาดเคลื่อนเป็นการขาย ATC เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาหุ้น และเป็น 2 คนที่เสนอซื้อ-ขาย เข้าไปเหมือนทำรายการบิ๊กล็อตกันเองและไม่มีผลทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงเพราะมีฝั่งเสนอซื้อและฝั่งเสนอขาย ซึ่งการทำรายการแบบนี้ตนต้องรายงาน ก.ล.ต.ว่าเป็น  Auto-Machine

    “รายการขายหุ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นมาเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ส่วน Forced Sell จบไปแล้วไม่มีแล้ว รายการขายดังกล่าวจึงไม่ใช่ Forced Sell ซึ่งผมยอมที่จะไปแจ้งกับทางก.ล.ต.ด้วยตัวเองว่าเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันด้วยความสมัครใจ ถ้าจะปกปิดจะไปบอกทำไหมว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ”            

    ด้านนายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการและโฆษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หุ้นที่เผชิญ Force Sell ก่อนหน้านี้ EA ที่พบรายการขายหุ้นของ นายสมโภชน์ อาหุนัย เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 67 จำนวน 14.69 ล้านหุ้นราคาหุ้นละ 12.60 บาท เป็นการแจ้งสำนักงาน ก.ล.ต.เป็นรายการ Auto-Machine  หรือเป็นการกำหนดราคาซื้อ-ขาย และบุคคลไว้แล้ว ปรากฏรายงานผ่าน ตลท. วันที่ 8 ก.ค. ว่าเป็นการขาย ณ ราคาปิดตลาด (ATC) ที่กำหนดราคาเฉลี่ยหรือราคา ATC ได้เท่านั้นและระบุเป็นการขายเพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น  ซึ่งหากเป็นรายการดังกล่าวต้องมีเทรดรีพอร์ตส่งมาให้ปรากฎไม่พบ ซึ่งจะมีการรวบรวมข้อมูล 2 วันนี้สอบถามกลับไปทาง EA ให้ชี้แจงข้อมูลกล่าวกลับมาให้นักลงทุนรับทราบ

     “รายการ ATC ต้องมีการส่งเทรดรีพอร์ตให้ตลท.รับทราบเพราะทำนอกเวลาทำการแต่ผ่านกระดานตลาดหลักทรัพย์  แต่อิงจากข้อมูลรายงานต่อก.ล.ต.เป็น Auto-Machine ทำให้ข้อมูลที่เปิดเผยไม่สอดคล้องกันรอการชี้แจงของฝั่ง EA ให้ชัดเจน  ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเข้าข่ายเปิดเผยข้อมูลเป็นเท็จตามพรบ.หลักทรัพย์ ม.240 อยู่ที่การชี้แจงและสำนักงานก.ล.ต. ”

     ทั้งนี้จากการติดตามข้อมูลบังคับขายหุ้น(Forced Sell) เกิดขึ้นมีหลายเคสที่เปิดเผยมาแล้วว่าหุ้นบางส่วนเจ้าของหุ้นนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไว้สูงมากจนเกิดความเสี่ยง ซึ่งจากข้อมูลรายเดือนที่เปิดเผยล่าสุดพ.ค.ที่ผ่านมานอกจากหุ้นบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG แล้วที่มีนำหุ้นวางค้ำประกัน 54.23 % ยังมีหุ้นที่มีสัดส่วนจำนวนหุ้นมากกว่า 50 % ขึ้นไปค้ำประกันถือว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยง

     ประกอบไปด้วยบริษัท  ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ  SCM สัดส่วน 52.09 %   บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG สัดส่วน 51.36%  และ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI สัดส่วน 51.12 % เป็นต้น  

     ทางตลท.มีสำนักงานหักบัญชีที่ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวพบว่าการปล่อยมาร์จินยังปกติแม้จะมีบางโบรกอย่าง บล.บียอนด์ ต้องทบทวนนโยบายการปล่อยมาร์จิน แต่เป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงของโบรกเกอร์ที่ต้องประเมินจากหุ้นที่รับค้ำประกันของแต่ละที่มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนจากตัวเลขที่เปิดเผยมีความเสี่ยงสูงขนาดนี้

     อย่างไรก็ตามการที่เจ้าของนำหุ้นไปค้ำประกันหรือจำนำหุ้นกับสถาบันการเงินอื่น ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย เพราะสามารถทำได้เพราะเป็นเจ้าของหุ้นอยู่แล้วแต่จะเกิดปัญหาอยู่ที่เวลท์ของแต่ละคน ความสามารถในการหาเงินมาเติมก่อนที่ถูกเรียกมาร์จิ้นเพื่อไม่ให้โดน Force Sell ดังนั้นข้อมูลที่ตลท.เปิดเผยจึงใช้เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน