ศาล รธน.นัดวินิจฉัย ‘นายกฯ เศรษฐา’14 ส.ค.นี้ โบรกเผย ตลาดโอเวอร์แฮง กระทบเชิงเซนติเมน

ศาล รธน.นัดวินิจฉัย ‘นายกฯ เศรษฐา’14 ส.ค.นี้  โบรกเผย ตลาดโอเวอร์แฮง กระทบเชิงเซนติเมน

ศาล รธน.นัดวินิจฉัย ‘นายกฯ เศรษฐา’14 ส.ค.นี้ "นักวิเคราะห์" เผย ตลาดโอเวอร์แฮง หากสถานการณ์แย่สุดต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ คนใหม่ ทำให้ตลาดชะงักแต่ระยะสั้นเท่านั้น 

หลังศาลศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาต่อในคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ปมแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 สิงหาคม นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในโหมดโอเวอร์แฮง โดยนักวิเคราะห์มองว่าหาก นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน หลุุดจากตำแหน่งในครั้งนี้จะกระทบตลาดเชิงเซนติเมน แต่งบประมาณจะล้าช้า และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยเสนอไว้อาจจะทำไม่ได้

“ไพบูลย์” ชี้หากนายกฯพ้นตำแหน่ง กระทบเชื่อมั่น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดียื่นวินิจฉัยนายกฯ ในวันที่ 14 ก.ค. 2567 นี้ ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางไหนส่งผลต่อตลาดทุนไทย ซึ่งหากกรณีนายกฯ ถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นและความไม่แน่นอนเกิดยิ่งเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจไทยอ่อนแอเช่นนี้ด้วย ดังนั้น จะสร้างความผันผวนต่อตลาดทุนไทย (Overhang) อีก 1 เดือน 

เนื่องจาก ยังคงใช้ระยะเวลาในการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยได้มีการแถลงไว้หรืออยู่ระหว่างดำเนินการอาจจะเกิดภาวะชะงักงัน เพราะว่าต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพราะถ้านายกรัฐมนตรี เศรษฐา หลุดทั้งคณะก็ต้องไปด้วย ดังนั้น โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอาจจะกระทบ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

ทั้งนี้ หากกรณีนายกฯ รอดเชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจบ้างแล้ว สะท้อนจากตัวเลขท่องเที่ยวที่ยังขยายตัว และภาคส่งออกของไทยยังขยายตัวได้อยู่ และยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆ ทีี่รัฐบาลดำเนินการ เช่น กองทุน TESG , กองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นต้น

ดังนั้น ในช่วงก่อนที่ศาลฯ จะมีคำตัดสินมองว่าตลาดหุ้นไทยจะไซด์เวย์และอยู่ในอาการ “ซึม” จนกว่าจะมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามมองในมุมบวกถือว่ามีความชัดเจนและไม่คลุมเครือแล้ว เพราะตลาดรับรู้แล้วว่าในวันที่ 14 ส.ค. จะมีการตัดสินในคดีดังกล่าว  ซึ่งสถานการณ์แย่สุดคงแต่เปลี่ยนตัวนายกฯ คนใหม่ ซึ่งจะทำให้ตลาดชะงักแต่ระยะสั้นเท่านั้น     

นักลงทุนชะลอลงทุน รอความชัดเจน 

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณากรณีคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 ส.ค.2567 มองว่า ถ้าไม่ผ่านตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบเชิงเซนติเมน ซึ่งจะอยู่ในโหมดโอเวอร์แฮง เนื่องจากว่ายังคงใช้ระยะเวลาในการสรรหา นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยได้มีการแถลงไว้อาจจะทำไม่ได้ เพราะต้องรอ ครม.ชุดใหม่ เพราะถ้านายกรัฐมนตรี เศรษฐา หลุดทั้งคณะก็ต้องไปด้วย จึงทำให้เกิดโอเวอร์แฮงได้ประมาณ 1-2 เดือน

ทั้งนี้ประเมินตลาดหุ้นไทยว่า หากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้ไปต่อ ตลาดน่าจะถอดลงมาประมาณ 2-3% ซึ่งอิงจากข้อมูลในอดีต โดยนักลงทุนอาจจะต้องรอดูถึงความชัดเจนก่อนในช่วงระยะนี้ ว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 14 ส.ค.2567 จะเป็นอย่างไร และหลังจากนั้นค่อยลงทุนได้

มองไม่เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย 

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ศาล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาต่อในคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน วันที่ 14 ส.ค.2567 มองว่าหากวันนั้นมีการพิจารณานายกฯ ไม่ได้ไปต่อ ถือว่า ไม่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีความคืบหน้า ล่าสุดให้ประชาชน เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.2567 จึงทำให้เกิดความกังวลต่อนโยบายในอนาคตจะกลับมาอีกครั้ง รวมถึงแผนการลงทุน งบประมาณปี 2568 เนื่องจากพอเริ่มเข้าสู่เดือน 9 ที่เข้าสู่งบประมาณใหม่ อาจจะมีคำถามการจัดสรรปันส่วนงบให้กับกระทรวงต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ฉะนั้น โดยภาพรวมหากนายกฯ ต้องพ้นจากคุณสมบัติไป เชื่อว่าจะมีแรงขายในตลาดหุ้นไทยออกมา แต่ขณะเดียวกันมองว่า ตลาดหุ้นไทยเองไม่น่าที่จะปรับตัวลงมาเยอะ เนื่องจากโอเวอร์แฮงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกรณีของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา หรือการยุบพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานับเดือน ดังนั้น ผลต่อตลาดหุ้นจึงมีความผันผวนมากกว่าที่ 5-10 จุด แต่ตลาดหุ้นจะไหลลงไปที่ 20-30 จุด คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าดัชนี ในวันที่ 24 ก.ค.2567 จะหลุด 1,300 จุด แต่ท้ายที่สุดก็สามารถกลับมายืนได้ ดังนั้นโอกาสปรับตัวลงมาเยอะก็มีแต่น้อย

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวไซด์เวย์ไปจนถึงวันที่ 14 ส.ค.2567 ให้กรอบไว้ที่ 1,285 - 1,315 จุด ซึ่ง 1,285 จุด มีความเสี่ยงที่จะหลุดได้เหมือนกัน หลังจากที่งบธนาคารบริษัทจดทะเบียนออกมาไม่สู้ดีสักเท่าไร แม้ว่ากำไรจะยืนได้ แต่ NPL และการตั้งสำรอง รวมถึงการรัดกุมกับการปล่อยสินเชื่อชัดเจนว่า เศรษฐกิจฐานรากกำลังมีปัญหา เพราะฉะนั้นหากงบบริษัทจดทะเบียนออกไม่ดี 1,285 จุด อาจจะหลุดไปที่ 1,260 จุดได้ โดยเฉพาะหุ้น SCC IVL PPTGC CPALL ถ้างบออกมาผิดคาดอาจจะกดดันดัชนีได้ต่อ

“กรอบบนให้ไว้ที่ 1,315 จุด กรอบล่าง 1,285 จุด ถ้ามีแค่ปัญหาทางการเมืองอย่างเดียวยังคงเอาอยู่ แต่ถ้ามีเรื่องของงบไตรมาส 2/67 เข้ามาด้วย ที่ไม่เป็นไปตามคาด หรืออ่อนแอก็อาจจะไหลลงไปได้อีกประมาณ 10-20 จุด หลังจากที่ดูแนวโน้มของกลุ่มธนาคารที่ประกาศงบออกมา”