เปิดมุมมอง 3 นักลงทุนวีไอ ชี้ ‘หุ้นไทย’ ประสบปัญหาเรื้อรัง New Low รอบ 10 ปี
'ดร.นิเวศน์' เผยตลาดหุ้นไทยคงยังคงประสบปัญหาปัญหาเรื้อรัง ไม่มีพลัง มีแต่จะแย่ลง แม้มีการกอบกู้กันขึ้นมาบ้างก็ตาม 'โจ ลูกอีสาน' ระบุ อยู่ในช่วง New Low รอบ 10 ปี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และ 'เซียนมี่' ระบุ ตลาดหุ้นต้องการความชัดเจน ไม่มีความขัดแย้ง
ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง แม้ว่า นักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาแล้วกว่า 1,200 หมื่นล้านบาท แต่ทว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังคงติดลบอยู่เกือบ 9% จากความไม่มั่นใจของนักลงทุน
บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน และยังคงต้องลุ้นกันอีกว่า ในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา "นายกรัฐมนตรี เศรษฐา" กรณีได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
แต่ทว่า นักลงทุนวีไอต่างมองว่า แม้ปัญหาการเมืองจะเข้ามารุมเร้าให้ตลาดหุ้นไทย แต่ไม่ใช่ปัญหาระยะยาว กระทบช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่หากมีปัญหาดังกล่าวเข้ามาเรื่อย ๆ ก็จะไม่เป็นผลดีกับตลาดหุ้นไทยที่ไม่สามารถเดินหน้าหรือไปต่อได้ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยบ้านเรา เป็นปัญหาที่ค้างคามานาน ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรัง และไม่มีพลัง มีแต่จะแย่ลง แม้ว่า จะมีการกอบกู้กันขึ้นมาบ้างก็ตาม ขณะที่รัฐบาลที่เข้ามาในช่วงคาบเกี่ยวทำให้นโยบายต่าง ๆ ยังคงต้องใช้ระยะเวลา และหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำเกิดขึ้นซึี่งถือว่า เป็นตำแหน่งระดับประเทศ อาจจะยิ่งทำให้ต้องสะดุดหรือเสียเวลาลงไปอีก
สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง อาจจะต้องมีผลกระทบแต่ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ทุกอย่างอาจจะต้องเริ่มใหม่ ซึ่งถ้าไม่ได้มีการเปลี่ยนพรรค หรือสลับขั้วความรุนแรงก็อาจจะไม่ได้กระทบมาก แต่อาจจะเป็นการเสียเวลามากกว่าที่จะมาเริ่มต้นกันใหม่
“เพราะเป็นระบอบประชาธิปไตย ผู้นำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในหลายประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าในเมืองไทยพยายามที่จะทำนโยบายสู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจที่ไม่ดี”
ทั้งนี้ เศรษฐกิจบ้านเรา ยังแข่งกับเวลา ซึ่งนับวันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไรก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ เนื่องจากโครงสร้างในประเทศยังไม่เข้าที่ ฉะนั้นจึงต้องรีบทำก่อนที่จะแย่ลงไปอีก และจะแก้ไขปัญหาได้ยากมากยิ่งขึ้น ตรงนี้จึงเป็นปัญหาว่า จะทำให้เสียเวลาไปอีก 6 เดือน - 1 ปีไปแล้ว จากเคยเสียเวลามาตลอดก็จะยิ่งแย่ลง แต่จะให้กลับมาดีขึ้นทันทีก็คงจะไม่ใช่ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรัง ขณะที่ยังไม่ได้ทำการแก้ไขก็อาจจะเกิดสะดุดขึ้นมาอีก
“นโยบายต่าง ๆ เริ่มค่อย ๆ ออกมาได้ ที่จะแก้ปัญหาเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นคืนมาได้ แต่ยังคงเป็นปัญหาระยะสั้น หากรอบแรกไม่ดีขึ้นก็อาจจะต้องมีการอัดฉีดกันไป ซึ่งรัฐบาลต้องมีความต่อเนืื่องทำนโยบายให้เกิดระยะเวลาที่ยาวขึ้น ไม่ใช่ระยะสั้นอย่างเดียว อาจจะต้องมีนโยบายอย่างจริงจังในระยะยาว เพื่อชะลอความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจไทยไปได้อย่างไร”
ในส่วนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมองว่า ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นนโยบายในการใช้หาเสียงเลือกตั้ง ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ยังไงแล้วก็ต้องออกมา เพียงแต่ว่า ก่อนหน้าอาจจะมีการสะดุดไปบ้าง ทำให้เกิดการล่าช้า แต่ทั้งนี้โครงการดังกล่าวคาดว่า ก็จะสามารถออกมาได้
อนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน นักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่า (VI) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันถือว่า อยู่ในช่วง New Low ในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีหลายปัจจััยเข้ามากระทบ ขณะที่ปัญหาด้านการเมืองถือเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามากระทบแม้จะไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่หากต้องมีคดีให้เข้ามาตัดสินอยู่เรื่อย ๆ เช่นนี้ ทำให้ความมั่นใจนักลงทุนหายไป
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจค่อนข้างแย่ คนระดับกลางถึงล่างได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ขณะที่รัฐบาลเองอาจจะมีทางเลือกที่ไม่มาก แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่ได้ทำในส่วนของดิจิทัลวอลเล็ตแม้จะเป็นมาตรการระยะสั้น
“หากย้อนไปในรัฐบาลชุดก่อนก็มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบันกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตถือว่าเป็นนโยบายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยให้ได้ผลแน่นอน เพราะปัจจุบันถือว่ารัฐบาลมีทางเลือกในการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มาก”
ทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือ เซียนมี่ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย ให้ข้อมูลเสริมว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน หลังจากที่นักลงทุนไม่มั่นใจต่อเนื่อง และในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคุณสมบัติของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา หากท่านไม่สามารถไปต่อได้อาจจะมีผลกระทบในเรื่องของงบประมาณปี 2568 แม้ว่าจะมีการผ่อนวาระ 1 ไปแล้ว และยังเหลือวาระ 2 และวาระ 3 เพราะขณะนี้ยังใช้งบของปี 2567 อยู่ ซึ่งอาจจะเกิดความเสี่ยงทำให้มีผลกระทบได้
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนขั้วสลับข้างกันไป หากต้องมีการปรับเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีขึ้น ซึ่งยังมองว่า ยังอยู่ในขั้วอำนาจเดิม เพราะฉะนั้นมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งหมดยังคิดว่า ยังคงอยู่
“ตลาดหุ้นไม่ได้มีการเลือกฝั่งว่า ใครจะเข้าหรือใครจะออก แต่ตลาดหุ้นต้องการความชัดเจน ไม่มีความขัดแย้ง ตลาดหุ้นก็จะสามารถไปต่อได้ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแย่ แต่คิดว่าฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/67 ยังคงทรง ๆ”
อย่างไรก็ดี หากสังเกตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ต่างชาติไม่ได้มีการเทขายออกมากเหมือนก่อนหน้า แต่กลับเข้าซื้ือ แต่ตลาดหุ้นไทยกลับมาประสบกับวิกฤติหุ้น EA ส่งผลให้ผู้ถือหน่วยกองทุนรวมบางรายที่ไม่มั่นใจกับกองทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้น EA มีการไถ่ถอนออกไป ซึ่งบางกองทุนถึงขั้นต้องปิดกองทุนลงไปก็มี แม้ว่าในบางกองทุนจะมีการถือหุ้น EA แค่ 5% เท่านั้น แต่นักลงทุนไม่มั่นใจจึงเกิดการขายออกมา ส่งผลให้กองทุนที่ปิดตัวไปต้องทำการขายหุ้นตัวอื่น ๆ ออกไปด้วย
ทั้งนี้ หากนักลงทุนไม่ได้มีหุ้นที่อยู่ในกระแส ส่วนตัวคิดว่า ควรถือไว้ก่อนเพื่อให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน เพื่อติดตาม EPS ไตรมาส 2/67 ที่น่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวจากงบภาครัฐที่ได้มีการเบิกจ่ายแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีสัญญาณที่ดีจากต่างชาติที่หยุดทำการขายออกไปแล้ว
ขณะเดียวกันมองว่า ในช่วงสิ้นปีนี้หากไม่มีเรื่องวิกฤติใหญ่ หรือการพักฐานแรง ๆ จากต่างประเทศ เชื่อว่า เมืองไทยยังมีการฟื้นตัวได้ดีจากจีดีพีปรับขึ้นแบบขั้นบันได และ EPS ของตลาดหุ้นไทยเริ่มดีขึ้น ส่วนปัญหาทางการเมืองถือว่าเป็นเซนติเมนเชิงระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่เป็นปัจจัยที่นักลงทุนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะออกมาในรูปแบบใดก็จะสามารถความชัดเจนให้กับตลาดหุ้นไทยได้