ลุ้น 14 ส.ค.67 ชะตานายกฯ "เศรษฐา" เปิดกลยุทธ์ลุยหุ้นแข็งแกร่ง

ลุ้น 14 ส.ค.67 ชะตานายกฯ "เศรษฐา" เปิดกลยุทธ์ลุยหุ้นแข็งแกร่ง

ตลาดหุ้นไทยลุ้นชะตานายกฯ "เศรษฐา" 14 ส.ค.67 ถ้ารอดได้อยู่ตำแหน่งต่อ บรรยากาศลงทุนชื่นมื่นตามหุ้นแนะนำ CPALL, CPAXT, STEC, DOHOME, OSP และ WHAUP ทว่าหากถูกถอดถอน แต่การเมืองไม่สลับขั้ว คาดหุ้นไทยลงแรงวูบสั้น เลือกหุ้นผันผวนต่ำ AOT, ADVANC, BH, PTT, KTB, BBL และ GULF

ยากจะปฏิเสธว่า สถานการณ์การเมืองมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย ยิ่งมีความไม่แน่นอนมากเท่าไร ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ ก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ สะท้อนไปยังองค์รวม และผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบในทางใดทางหนึ่ง

ประเด็นร้อนทางการเมืองในเดือนส.ค.2567 นี้ เพิ่งผ่านพ้นไป 1 ด่านคือ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินยุบพรรคก้าวไกล เมื่อ 7 ส.ค.67 ซึ่งการตอบรับของเงินลงทุนในตลาดหุ้นออกมาเป็นเชิงบวก SET Index ปรับเพิ่มขึ้นในวันนั้นสูงสุด 19.93 จุด คิดเป็น 1.56% ก่อนจะปิดสิ้นวันที่ระดับ 1,290.55 จุด เพิ่มขึ้น 16.54 จุด คิดเป็น 1.30% อีกทั้งในวันนี้ 8 ส.ค.67 ตลาดหุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นต่อได้

สำหรับประเด็นร้อนด่านสำคัญต่อไปคือวันที่ 14 ส.ค.67 ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

ในมุมมองนักลงทุนค่อนข้างให้ความสำคัญมากกว่ากรณีก้าวไกล เนื่องจากผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องหลังมีคำตัดสินย่อมไปเกี่ยวโยงกับ การวางแผนบริหารงานของรัฐบาล และการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ได้ทำการศึกษาความน่าจะเป็นของประเด็นการเมืองในประเทศ ต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจกับคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย โดย กรณียุบพรรคก้าวไกลมองผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อย (คาดว่าไม่มีการชุมนุมที่รุนแรง) และเชื่อว่าสัดส่วน สส. แต่ละฝั่งการเมืองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ทว่ากรณีคดีการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีจะมีผลต่อการผ่านงบประมาณ จึงประเมิน 2 ฉากทัศน์ที่มีความเป็นได้ดังนี้

1.กรณียกคำร้อง การเมืองกลับมาปกติ หุ้นไทยควรกลับมามี Sentiment เชิงบวก

2.กรณีถูกถอดถอน จะมีประเด็นติดตามถัดไปคือ

(1) การเลือกนายกฯ ใหม่ ซึ่งย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยุคนายกฯ สมัคร และนายกฯ สมชาย พบว่าใช้เวลาค่อนข้างสั้น เพียง 8 และ 13 วัน ตามลำดับ และตั้ง ครม. ใหม่ก็จบใน 1 สัปดาห์

(2) โอกาสการเลื่อนพิจารณา พ.ร.บ. งบฯ ปี 68 ที่ผ่าน สส. วาระ 1 แล้ว จะเข้า 2-3 หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง วาระนี้อาจจะชะลอจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 1 เดือน (ต่างจากปี 67 ที่ล่าช้าจากการตั้งรัฐบาล) ยกเว้น สัดส่วน สส. แต่ละพรรคเปลี่ยนแบบมีนัยหรือเกิดการสลับขั้วการเมือง

ทั้งนี้แม้กรณีเลื่อนไปก็ยังมีงบฯ เพิ่มเติมปี 67 ราว 1.2 แสนล้านบาท ที่ สว. พิจารณาภายใน 13 ส.ค.67 รออยู่แล้ว

(3) ความเสี่ยงของนโยบายเรือธงอย่าง Digital Wallet แบ่งออกเป็น 1. เดินหน้าต่อ บนขนาดรูปแบบ และเงื่อนไขปัจจุบัน 2. เดินหน้าต่อ แต่ลดขนาด และปรับรูปแบบ-เงื่อนไข (ไม่ได้มีผลด้านลบกับตลาด) และ 3. ยกเลิกโครงการแบบไม่มีแผนสำรอง (มองลบ เพราะเดิมคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจ)

กลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง ให้น้ำหนักความเป็นไปได้ที่สำคัญ 2 ฉากทัศน์ได้แก่

1.กรณีนายกฯ ถูกถอดถอน แต่ไม่เกิดการสลับขั้ว คาดหุ้นไทยลงแรงแค่ชั่ววูบ (ช่วงหลังตัดสิน) จากนั้นจะมีแรงซื้อกลับ แนะนำหุ้น Low Beta (ผันผวนน้อยกว่าตลาด) เพราะจะเป็นกลุ่มที่พักเงินลงทุน เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง, เป็นเป้าหมายของกอง TESG และกองทุนวายุภักษ์ เช่น AOT, ADVANC, BH, PTT, KTB, BBL และ GULF

2) นายกฯ ได้ไปต่อ นโยบายไม่สะดุด ตลาดจะกลับมารีบาวด์ปลดล็อกประเด็นการเมือง (หากเศรษฐกิจโลกไม่ได้ชะลอตัวรุนแรง) เน้นหุ้นที่เข้าเกณฑ์ TESG แต่จะผสมหุ้น Alpha ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตเด่น เช่น CPALL, CPAXT, STEC, DOHOME, OSP และ WHAUP
 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์