OR คาดรายได้ครึ่งปีหลังฟื้น รับไตรมาส 4 ไฮซีซัน ‘ท่องเที่ยว' หนุน
OR มองเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 67 “ท่องเที่ยว” หนุนปริมาณขาย “น้ำมันอาศยานและค้าปลีก” คาดผลงานไตรมาส 3 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ลุ้นมาร์จินคาเฟ่อเมซอนพุ่ง 27-29% รับไฮซีซันไตรมาส 4 “ธุรกิจต่างประเทศ” โตต่อโดยเฉพาะ “ฟิลิปปินส์-กัมพูชา”
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทยังคาดการณ์ปีนี้กำไรยังใกล้เคียงกับปีก่อน จากกลุ่มธุรกิจโมบิลิตี้ ที่มีสัดส่วน 70% ของรายได้รวม โดยปีนี้บริษัทปรับเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน เป็นการหดตัว 3-5% เดิมคาดเติบโต 3-4% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกมียอดสะสม 12,866 ล้านลิตร ลดลง 7.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน 13,907 ล้านลิตร หลังรัฐบาลปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงขึ้น ทำให้การเติมน้ำมันลดลง
ขณะที่ ผลดำเนินงานครึ่งแรกมีรายได้ขายและบริการ 361,922 ล้านบาท ลดลง 6.1% และอิบิทดา 11,016 ล้านบาท ลดลง 1.1% แต่ยังมีกำไรสุทธิ 6,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายรวมสุทธิลดลงและมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
ด้านแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 คาดน่าจะใกล้เคียง หรือชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากความเสี่ยงกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง และกลุ่มธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) น่าจะมีปริมาณจำหน่ายลดลงเพราะเป็นช่วงฤดูฝน แต่จะยังรักษาระดับทำกำไรขั้นต้นต่อลิตรให้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ระดับ 0.90-1 บาทต่อลิตร และถึงแม้จะมีปัญหาข่าวปลอมที่ส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดลดลงช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่บริษัทได้มีการทำโปรโมชั่นและแผนการตลาดสนับสนุนจะเห็นว่าปัจจุบันปริมาณการจำหน่ายน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง คาดไตรมาส 3 นี้ดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ยังเติบโตต่อแม้จะมีความเสี่ยงช่วงฤดูฝนในไตรมาส 3 นี้ ในส่วนธุรกิจคาเฟ่อเมซอน ยอดขายน่าจะทำได้ 100 ล้านแก้ว จากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 102 ล้านแก้ว แต่คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ยอดขายจะฟื้นตัวได้ จากเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน เชื่อทั้งปีจะเป็น New High และมาร์จินคาดจะทำได้ดีระดับ 27-29% ธุรกิจต่างประเทศในฟิลิปปินส์ และกัมพูชา เริ่มเห็นยอดขายฟื้นตัวขึ้น คาดหนุนยอดขายรวมและอัตรากำไรเพิ่มขึ้นระดับ 3-4% แล้ว
นอกจากนี้ ยังคงเป้าหมายแผนขยายสาขาปีนี้แบ่งเป็น สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ 100 แห่ง, คาเฟ่อเมซอน ขยายสาขา 300 สาขา และธุรกิจต่างประเทศ อีกราว 20 สาขา รวมถึง EV Station PLUZ เพิ่มขึ้น 550 Locations
สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงที่เหลือปีนี้ การขยายตัวเศรษฐกิจโลก โดย IMF คาดจีดีพีโลกเติบโต 3.2% ในปีนี้ และ ปีหน้ายังโตใกล้เคียงที่ 3.3% โดยประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ คาดจีดีพีไทยปีนี้เติบโต 2.3-2.8% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน จีดีพีโตที่ 1.9%
ส่วนจีดีพีประเทศอื่นที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มีจีดีพีโตเฉลี่ย 4-6% ในปีนี้ และปีหน้ายังเติบโตสูงกว่าไทย มองเป็นโอกาสสนับสนุนผลดำเนินกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ทั้งเพิ่มปริมาณจำหน่ายทั้งน้ำมันและธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้คาด 35.5 ล้านคน ดีกว่าปีก่อนที่ 28.2 ล้านคน ครึ่งปีแรกปีนี้ ทำได้ 17.5 ล้านคน แม้ยังเติบโตไม่กลับไปเท่าก่อนปีโควิด-19 ที่ 41 ล้านคน แต่มองช่วงที่เหลือปีนี้ท่องเที่ยวเติบโตดี ยังคงสนับสนุนการดำเนินธุรกิจทั้งส่วนจำหน่ายน้ำอากาศยานและการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวรวมถึงค้าปลีกในปั้มน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังความเสี่ยงที่ยังเป็นความท้าทายไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินของต่างประเทศ ค่อนข้างเข้มงวด ยังมีผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงการเลือกตั้งในต่างประเทศ สงครามการค้า ซึ่งตั้งกำหนดกำแพงภาษีในฝั่งสหรัฐและยุโรป เพื่อสกัดกันสินค้าจีน ส่งผลต่อประเทศในเอเชียรวมถึงไทย
รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลประกอบการซึ่งคาดราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้ 79-89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรน และอัตราแลกเปลี่ยนกรอบค่าเงินบาทปีนี้ 34.50-37.50 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ กรณี พรบ.ค้าน้ำมันฉบับใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างร่างกฎหมายนั้น มองขณะนี้ยังเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบในภาพรวมที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีนโยบายพยายามทำให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันราคาต่ำลง แต่ราคาน้ำมันใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุปและปกติแล้วตลาดน้ำมันค้าปลีกมีการแข่งขันสูง ดังนั้น ภาพรวมมองรัฐบาลยังต้องใช้กลไกอย่างกองทุนและภาษีมาบริหารจัดการให้ราคาน้ำมันใหม่เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ปรับลดลง แต่ต้องอยู่ในอัตราราคาที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมัน 7-8 ราย ยังสามารถอยู่ได้