ดัชนีหุ้นไทยเข้าโหมด ‘กระทิง’ ขาย-ซื้อตัวไหน ตกรถทำอย่างไร
SET Index ภาวะกระทิงเหนือระดับ 1,400 จุดด้วยพลังความหวังเงินดิจิทัล และวายุภักษ์ "บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย)" แนะนักลงทุนลดน้ำหนัก Global Plays เพิ่มน้ำหนัก Domestic Plays ขายทำกำไร Leaders เข้าลงทุน Laggards และซื้อหุ้นน้ำหนักยังน้อยในกองทุนวายุภักษ์ 1
การที่ SET Index ปรับตัวขึ้นกว่าร้อยจุด ภายในระยะเวลาไม่กี่วันช่วงต้นเดือนก.ย. 67 ถือเป็นเรื่อง “หักปากกาเซียน” ของใครหลายคน
กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) มีมุมมองว่า SET Index สามารถยืนระดับ 1,400 จุด ได้อย่างไม่ยากเย็นจากการมาของกองทุนวายุภักษ์ การเดินหน้าต่อของเงินดิจิทัล ประกอบกับการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของค่าเงินบาทจากประเด็น US Federal Reserve (FED) จะมีการปรับ “ลด” ดอกเบี้ยนโยบายสะท้อนถึงเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าประเทศไทยของนักลงทุนต่างชาติ
- อธิบายถึงสองประเด็นในประเทศข้างต้นว่าสำคัญอย่างไรต่อประเทศไทยในไตรมาส 4/2567 และ ปี 2568
1. พายุหมุนของเงินดิจิทัล เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่ยังคงเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลต่อไปเนื่องจากเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค
ในมุมมองของหุ้น กลุ่มอุปโภคบริโภคน่าจะกลับมา Outperform ได้อีกครั้ง และในมุมของเศรษฐกิจ ประเมิน Upside Risks ต่อประเด็นดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ราว 30 Basis Points (bp) และ คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยจะเติบโตได้ราว 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
2. พายุหมุนของกองทุนวายุภักษ์ เชื่อว่ากองทุนนี้น่าจะลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทน และคะแนน ESG สูง (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3% และมีคะแนน SET ESG Ratings ตั้งแต่ระดับ ‘AA’ ขึ้นไป) และด้วยขนาดของกองทุนรวมวายุภักษ์ และกองทุน Thai ESG รวมกันน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 1% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นประมาณ 5% หรือ 70 จุดในไตรมาส 4/2567
คำถามสำคัญมีอยู่สองข้อ คือ 1. ถึงเวลาขายทำกำไรแล้วหรือยัง 2.เราตกรถแล้วหรือยัง และหากตกรถนักลงทุนควรทำอย่างไร
กลยุทธ์มี 3 ประการ
1. ลดน้ำหนัก Global Plays และเพิ่มน้ำหนัก Domestic Plays
ด้วยเงินบาทที่แข็งค่า การเลือกตั้งสหรัฐที่กำลังเข้ามา ราคาน้ำมันดิบที่ยังปรับตัวลดลง เชื่อว่างบไตรมาส 3/2567 ของกลุ่มส่งออก และพลังงาน (พลังงานต้นน้ำ และโรงกลั่น) อาจจะออกมาอ่อนแอกว่ากลุ่มหุ้นที่เน้นธุรกิจในประเทศ
มากไปกว่านั้นในปัจจุบันที่หุ้นไทยกำลังพุ่งทะยานก็มาจากหุ้นที่ทำธุรกิจในประเทศทั้งสิ้น อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก โทรคมนาคม
2. ขายทำกำไร Leaders และเข้าลงทุน Laggards ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ
หุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยราคาหุ้นของ CPALL ปรับตัวขึ้นแรงกว่าหุ้นค้าปลีกตัวอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงแนะนำให้ขายทำกำไร CPALL และเปลี่ยนตัวเล่น เข้าลงทุนค้าปลีกแถวสองอย่าง CRC หรือ HMPRO แทน
หุ้นปันผลสูง โดยราคาหุ้นของ ADVANC ปรับตัวโดดเด่นกว่าหุ้นปันผลสูงๆ อื่นดังนั้นผมจึงแนะนำลงทุนหุ้นปันผลที่ขึ้นน้อยกว่าอย่าง LH
3. ซื้อหุ้นน้ำหนักน้อยในกองทุนวายุภักษ์ 1
จากข้อมูลพบว่า สัดส่วนการถือหุ้นของ SCB สูงมาก (25.3%) รวมถึง TTB (5.3%) และ KTB (3.5%) ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมอาจจะเป็นการเข้าซื้อ KBANK หรือ BBL แทน เนื่องจากทั้งคะแนน ESG ที่ถึงเกณฑ์ และการจ่ายปันผลเกิน 3% ทั้งคู่
กล่าวโดยสรุป แม้ SET Index จะปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่เชื่อว่าเมื่อเทียบกับที่ลงมาตลอดในช่วง 2 ปีนี้ยังถือว่าขึ้นไม่มากเลย หน้าที่ของเราคือ เลือกตัว Laggards และอยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา
และนอกเหนือจากการ ซื้อตัวไหน หรือ ขายตัวไหน สิ่งที่ บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) อยากเตือนนักลงทุนคือ การรอคอยจังหวะ เพราะเชื่อว่าจะต้องมีวันที่ SET Index ปรับตัวย่อลงมาอย่างแน่นอน จังหวะนั้นจะเป็นจังหวะที่เรากลับเข้าไปซื้อได้ดีกว่า หรือ กล่าวคือ “ซื้อวันแดง ขายวันเขียว” ในยามที่ภาพของกระทิงชัดเจนขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์