10 หุ้น SETESG สุดจริง กำไรครึ่งปี 67 โตเกินกว่า 100%
10 หุ้น SETESG สุดจริง กำไรครึ่งปี 67 โตเกินกว่า 100% หุ้น JTS กำไรสุทธิ 6 เดือน พุ่งนำมากสุด เพิ่มขึ้น 4,914.03% มาร์เก็ตแคป 47,686 ล้านบาท
ดัชนี SETESG เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ของบริษัทในการตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท ซึ่งนั้นเท่ากับเป็นการสะท้อนหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพผ่านการคัดกรองมาจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วขั้นหนึ่ง
ทั้งนี้ จากการสำรวจผลประกอบการ การดำเนินงานของหุ้นในดัชนี SETESG ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิสูงเกินกว่า 100% (ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 11 ก.ย.2567)
1.บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) JTS
- หมวดธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 324.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,914.03%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 1,448.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.08%
- ราคา YTD -23.30%
- มาร์เก็ตแคป 47,686 ล้านบาท
2.บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ETC
- หมวดธุรกิจ พลังงาน และสาธารณูปโภค
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 52.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 566.76%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 418.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.43%
- ราคา YTD -21.32%
- มาร์เก็ตแคป 4,794 ล้านบาท
3.บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) TVO
- หมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 858.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 425.54%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 15,026.85 ล้านบาท ลดลง -19.24%
- ราคา YTD +12.15%
- มาร์เก็ตแคป 21,347 ล้านบาท
4.บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) SHR
- หมวดธุรกิจ การท่องเที่ยว และสันทนาการ
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 40.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 422.68%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 5,350.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.30%
- ราคา YTD -6.19%
- มาร์เก็ตแคป 7,619 ล้านบาท
5.บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) STGT
- หมวดธุรกิจ ของใช้ส่วนตัว และเวชภัณฑ์
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 525.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256.02%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 12,038.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.34%
- ราคา YTD +55.22%
- มาร์เก็ตแคป 29,798 ล้านบาท
6.บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) PSL
- หมวดธุรกิจ ขนส่ง และโลจิสติกส์
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 939.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.57%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 3,322.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.94%
- ราคา YTD -1.16%
- มาร์เก็ตแคป 13,332 ล้านบาท
7.บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) BCPG
- หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 1,683.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.19%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 4,912.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.97%
- ราคา YTD -20.45%
- มาร์เก็ตแคป 20,970 ล้านบาท
8.บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ERW
- หมวดธุรกิจ การท่องเที่ยว และสันทนาการ
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 778.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.55%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 3,962.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.98%
- ราคา YTD -25.33%
- มาร์เก็ตแคป 19,157 ล้านบาท
9.บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BAFS
- หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 126.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102.01%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 1,740.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.23%
- ราคา YTD -32.64%
- มาร์เก็ตแคป 10,264 ล้านบาท
10.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP
- หมวดธุรกิจ พลังงาน และสาธารณูปโภค
- กำไรสุทธิ 6 เดือน ปี 2567 ที่ 11,409.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.19%
- รายได้รวม 6 เดือน ปี 2567 ที่ 245,240.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.47%
- ราคา YTD +1.40%
- มาร์เก็ตแคป 121,744 ล้านบาท
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ดัชนี SETESG เป็นธงของตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา สาเหตุหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญมาจากกระแสรักษ์โลก ที่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกหันมาโฟกัสหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างมากขึ้น จึงทำให้เกิดกองทุนลดหย่อนภาษีที่ผ่านกันไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปีผ่านมาสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาท แต่ในปีนี้ได้ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเพิ่มวงเงินลดหย่อนอีกเป็น 300,000 บาท
ทั้งนี้ ทำให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน อยากต้องการที่จะให้ตัวบริษัทถูกจัดอยู่ในอันดับเรตติ้งเหล่านี้มากขึ้น ขณะที่ในส่วนของผู้ลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากในอดีตได้เห็นว่า หุ้นที่มีการจัดอันดับ ESG ที่สูงๆ มักจะมีความยั่งยืนในระยะยาว และเฉลี่ยให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว
ขณะที่ ปัจจุบัน ESG ของไทย โดยส่วนใหญ่แล้วหุ้นขนาดใหญ่ในบ้านเรา เกือบทุกตัวเกือบ 95% จะมีการถูกจัดอันดับเรตติ้งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผลงานของ SETESG หากเทียบกับ SET50 หรือ SET100 ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าไปในทิศทางเดียวกัน
"หุ้นไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังจากปัจจัยภายในประเทศ รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งในช่วงถัดไปจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาสู่หุ้นขนาดใหญ่เป็นสำคัญ รวมถึงหุ้น SETESG ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยเช่นเดียวกัน"
อย่างไรก็ดี หุ้นขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในดัชนี SETESG อยู่แล้ว ดังนั้นเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต อาจนำเกณฑ์วายุภักษ์เข้ามารวมกัน ซึ่งกองทุนวายุภักษ์ก็เน้นการลงทุนในหุ้นใหญ่ด้วยเช่นกัน และใช้เกณฑ์ของเงินปันผลเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย ว่า หุ้น SETESG ตัวใดบ้างที่มีปันผล 3% ขึ้นไป ซึ่งจะกระจุกตัวอยู่ใน 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสื่อสาร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงนี้กองทุนวายุภักษ์จะมาแรง แต่เชื่อว่าในช่วงปลายปี โค้งสุดท้ายของการลดหย่อนภาษีด้วยการเพิ่มวงเงินเป็น 300,000 บาท คาดว่าหุ้น SETESG จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดมากยิ่งขึ้น
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ESG ค่อนข้างมีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ หรือในเชิงของผลกระทบที่มีต่อตลาด เนื่องจากว่า เม็ดเงินจากการลงทุนใน TESG จะเป็นเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นโดยตรง เพราะฉะนั้นจึงมองเป็นผลดีในเชิงที่จะเข้ามาผลักดันตลาด ทำให้ตลาดมีการสะท้อนมูลค่าที่เหมาะสมที่เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญเป็นเงินลงทุนในระยะยาวที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในทุกๆ ปี สำหรับนักลงทุนดีกว่ากองทุนวายุภักษ์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์