เจ้าหนี้ ACAP สกัดล้มโหวตแผนฟื้นฟู ฯ -รายย่อยจี้คืนหนี้
เจ้าหนี้ ACAP โหวตเลื่อนแผนฟื้นฟูกิจการพบแผนชำระหนี้ไม่ชัดเจนนัดประชุมใหม่ 27 พ.ย. 67 รายย่อยจี้เร่งจ่ายคืนหนี้-ขอตรวจสอบการดำเนินการ ด้านผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เตือนพิจารณาแผนอย่างระมัดระวัง ขอให้หน่วยงานที่กำกับดูแลแการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุนรายย่อย
นายนครินทร์ วงแหวน ทนายความผู้รับมอบอํานาจจากผู้ถือหุ้นกู้ บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP กล่าวว่า ผลการประชุม (18ก.ย.2567)ได้เลื่อนโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ ACAP ออกไปเป็นวันที่ 27 พ.ย. 2567 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่บริษัทยอมรับฟังเสียงจากนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้ทำแผนเสนอยังมีความไม่ชัดเจน และไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้ โดยเฉพาะเจ้าหนี้รายย่อย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก
“เลื่อนแผนฟื้นฟูกิจการออกไป จากการที่ผู้ลงทุนผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยไปร้องที่ผู้บัญชาการสอบสวนกลางให้สอบสวนหาข้อเท็จจริงในความฉ้อฉลของผู้บริหารในอดีตและปัจจุบัน ไม่โปร่งใส เอื้อพวกพ้อง แต่เราอยากได้ความจริงใจมากกว่านี้ และความตั้งใจของผู้ทำแผนและที่ปรึกษา ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาล ที่ควรดำเนินการอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมในการจ่ายคืนหนี้ให้กับนักลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อยากได้ความเห็นใจ โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่ตั้งใจซื้อหุ้นกู้ของบริษัทตั้งแต่แรก เพราะเชื่อมั่นกับหุ้นตัวนี้ แต่สิ่งที่เราได้ยินจากอดีตผู้บริหาร ACAP (นางสาวณิชารดี สุขเจริญไกรศรี) คือการลงทุนมีความเสี่ยง ได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจ และฝากให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลนักลงทุนรายย่อยให้ได้รับความเป็นธรรม” นายนครินทร์กล่าว
สำหรับการประชุมพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการ ACAP เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2567 ที่ประชุมยังไม่ได้มีการโหวตรับแผนของผู้ทำแผน แต่มีการนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 27 พ.ย. 2567 ขณะเดียวกันได้มีการเสนอให้ปรับปรุงแผนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หุ้นกู้ โดยมียอดหนี้เงินต้นคงค้างจำนวน 2,037,648,002.04 บาท หนี้ดอกเบี้ยคงค้างจำนวน 1,116,226,293.85 บาท และหนี้ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จำนวน 839,788.74 บาท รวมกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นให้กับเจ้าหนี้ ภายในระยะเวลา 8 ปี
ทั้งนี้ แผนฟื้นฟูกิจการ ACAP ได้มีความเห็นจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ควรใช้ข้อมูลงบการเงินในการพิจารณาอย่างระมัดระวัง เนื่องจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตไม่รับรองความถูกต้องของรายละเอียดที่ปรากฎในงบการเงิน ทั้งเรื่องเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทอื่นที่ผิดนัดชำระหนี้ที่มีสิทธิการเช่าเป็นหลักประกัน ซึ่งสิทธิการเช่าอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาท และยังไม่ได้รับข้อมูลการประเมินมูลค่า รวมทั้งบริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าทรัพย์สินหมุนเวียน มีปัญหาสภาพคล่องและการผิดนัดชำระหนี้ เป็นจำนวนเงินกว่า 4,344,497,161.83 บาท
นอกจากนี้ ในแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทจะปรับโครงสร้างทุน โดยในระหว่างระยะเวลาดำเนินการตามแผน ผู้บริหารแผนจะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวนเงิน 300 ล้านบาท ในปีพ.ศ.2570 โดยเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและ/หรือนักลงทุนรายใหม่ คือ บริษัท Echelon Capital Holdings Limited จากประเทศสิงค์โปร์ ซึ่งมีข้อมูลว่าทางบริษัทได้ มีการทำสัญญาเก็บรักษาความลับไว้กับทางบริษัท Echelon Capital Holdings Limited เกี่ยวกับสัญญาการร่วมทุน ดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถทราบถึงรายละเอียดของสัญญาร่วมทุนดังกล่าวได้ และจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าไม่ปรากฏข้อมูลบริษัทในฐานข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถืออีกด้วย
ความฉ้อฉลและไม่โปร่งใสของ ACAP, โอเค แคช และแคปปิตอล โอเค ตั้งแต่เรื่องการบริหารในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในการประเมินทรัพย์สิน การปล่อยกู้ จนกระทั่งผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตไม่รับรองงบ พร้อมกับมีการโอนทรัพย์สินไปยังพวกพ้องและบริษัทในเครือก่อนหุ้นกู้จะหมดอายุบางส่วน จนมาถึงปัจจุบันแผนฟื้นฟูกิจการที่ยื่นต่อศาลล้มละลายกลางก็มีการโอนทรัพย์สินออกไปจากบริษัทให้กับพวกพ้องตามที่เป็นข่าว
ดังนั้นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและดูแลประชาชนผู้เสียหาย จึงจำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ทำแผนฟื้นฟูให้โปร่งใส รอบคอบเพื่อประโยชน์โดยรวม มิใช่ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น