หุ้นแบงก์โมเมนตัมไต่ขาขึ้น คาดงบไตรมาสสามแรง
ขาขึ้นตลาดหุ้นไทยราว 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมาปฏิเสธมิได้ว่า กลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์หรือกลุ่มแบงก์ถือเป็นแกนนำดัน SET Index รอบนี้ได้อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่ประเทศไทยโหวตได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2567 ดัชนี SET บวกขึ้นมา (เทียบปิดทำการวันที่ 23 ก.ย.2567) ราว 14-15% ขณะที่หุ้นกลุ่มแบงก์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเช่นกัน
โดยเฉพาะ 4 หุ้นแบงก์มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่สุด ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ในช่วงเวลาเดียวกันบวกราว 21% บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB บวกราว 9-10% ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL บวกราว 20% และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB บวกราว 16-17%
ปกติแล้ว เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจพลิกจากความสิ้นหวังขึ้นมา มีหวังย่อมเป็นธรรมดาที่หุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีจะถูกเลือกจากนักลงทุนก่อน ทว่ารอบนี้แรงเก็งกำไรได้ให้น้ำหนักเพิ่มเป็นพิเศษกับหุ้นที่ตลาดเชื่อว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่กำลังเพิ่มมูลค่ากองทุน 1.5 แสนล้านบาท จะเข้ามาซื้อเพิ่มเติมตามเงื่อนไขในเดือนต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ด้วย
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังประเมินผลประกอบการกลุ่มแบงก์สำหรับไตรมาส 3/2567 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรืออาจมีโอกาสที่จะดีขึ้นบ้าง จากไตรมาส 2/2567 ด้วยจากผลดีตั้งสำรองลดลง การมีรายรับค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ภาพรวมสินเชื่อยังไม่ดีนัก ด้านประเด็นความคืบหน้าการขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank จะส่งผลดีในอนาคตกับแบงก์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงหากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติยอมลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามต่างประเทศ ซึ่งหากเกิดขึ้นแม้อาจเป็นผลลบต่อราคาหุ้นแบงก์บ้าง แต่ระยะต่อไปการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจจะมาชดเชยผลกระทบได้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ “มากกว่าตลาด” แม้ว่าสินเชื่อเดือนส.ค.2567 ลดลง -0.7% MoM โดยการลดลงส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่ และภาครัฐเป็นหลัก รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลงตามทิศทางของยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลง และจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าสินเชื่อรายใหญ่ และภาครัฐจะมีโมเมนตัมเพิ่มขึ้นได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ตามโครงการใหญ่ๆ ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้คงประมาณการ การเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 2567 ของกลุ่มไว้ที่ +2% YoY (8 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ -1.3% YTD) ด้าน NPL คาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯ จำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 2567 จะอยู่ที่ 3.25% จาก 2.92% ในปี 2566
เลือก KBANK, KTB เป็น Top pick ขณะที่ SCB จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้ในเดือนส.ค.2567 โดยการให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะ Fund flow ที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2567-2568 จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ Valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.68 เท่า PBV
สอดคล้อง บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่มองว่า หุ้นธนาคารใหญ่ยังมีความน่าสนใจในแง่เงินปันผล และโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช่วงปลายปี
เลือก KTB เป็น Top Pick ของกลุ่มคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 โตทั้ง YoY และ QoQ ส่วนไตรมาส 4/2567 คาดได้ประโยชน์จากสินเชื่อโครงการรัฐที่เพิ่มขึ้น และในระยะยาวมีประเด็นบวกจากการรุกธุรกิจ Virtual Bank บวกกับคาดให้อัตราปันผลอีก 4.5%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์