หุ้น ‘โอ้กะจู๋’ ยอดจองล้น 11 เท่า ‘กองทุน-สถาบัน’ เข้าซื้อ 10 รายเน้นลงทุนยาว
“โอ้กะจู๋” ปิดจ็อบขาย “หุ้นไอพีโอ” ยอดขายล้นหลาม ด้าน “กองทุน” จองซื้อกว่า 11 เท่า หรือ 880 ล้านหุ้น จากหุ้นที่จัดสรร 80 ล้านหุ้น “ชลากร” มั่นใจลงทุนระยะยาว ส่วนรายย่อยจองล้นเช่นกัน ฟาก “ที่ปรึกษาการเงิน” มั่นใจเทรดวันแรกนักลงทุนตอบรับดี รับบรรยากาศลงทุนตลาดหุ้นไทยฟื้น
“หุ้นโอ้กะจู๋” ถือว่ากำลังเข้ามาสร้างสีสันให้ตลาดหุ้น “ไอพีโอ” อีกครั้ง สะท้อนจากนักลงทุนทั้ง “สถาบัน-รายย่อย” ต่างแสดงความสนใจอยากครอบครองเป็นเจ้าของจำนวนมาก หนึ่งจุดเด่นของหุ้นโอ้กะจู๋คือ เป็นหุ้นที่นักลงทุนเห็นภาพของธุรกิจและจับต้องได้ผ่านแบรนด์ร้านโอ๋กะจู๋
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นไอพีโอตั้งแต่ 23-25 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดีมาก ทั้งฝั่งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันที่มียอดจองหุ้นเข้ามาเต็มตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันได้รับการจัดสรรจำนวน 10 ราย จากสัดส่วนหุ้นที่จัดสรรให้ 80 ล้านหุ้น ซึ่งได้รับรายงานว่ามียอดจองจากสถาบันเข้ามามากกว่า 11 เท่าของจำนวนที่จัดสรร หรือ 880 ล้านหุ้น ซึ่งในเบื้องต้นรายชื่อกองทุนที่เข้ามาลงทุนเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว มีทั้งกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง, บลจ.กสิกรไทย และ บลจ.ไทยพาณิชย์ เป็นต้น เช่นเดียวกับนักลงทุนรายย่อยได้จัดสรรหุ้นให้ 49 ล้านหุ้น รับทราบว่ายอดจองเข้ามาล้นกว่าที่เตรียมไว้เช่นกัน
“ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันมีความสนใจลงทุน ซึ่งราคาหุ้นที่เคาะ 6.70 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่สำรวจความต้องการมาจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน เท่าที่พูดคุยได้รับการตอบรับที่ดีและสนใจลงทุนระยะยาว กลุ่มรายย่อยยังไม่เห็นรายชื่อว่าจะมีกลุ่มรายใหญ่ หรือ วีไอเข้ามาถือด้วยหรือไม่”
สำหรับ OKJ ราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 159,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 6.70 บาท ระยะเวลาจองซื้อ 23-25 กันยายน 2567 โดยมีบล.บัวหลวงเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
การเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทในครั้งนี้ที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง เท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ประมาณ 24.13 เท่า
ผู้ถือหุ้นของบริษัท 3 ราย ได้แก่ 1. นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล 2. นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และ 3. นายวรเดช สุชัยบุญศิริ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ในเครือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น โดย Modulus จะซื้อหุ้นเดิมจากผู้ร่วมก่อตั้ง 31,800,000 หุ้น คิดเป็น 5.2% ในราคาเดียวกับหุ้น IPO ในวันแรกที่หุ้น OKJ เข้าเทรด ด้วยการทำรายการบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) วัตถุประสงค์เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของ Modulus ไว้ที่ 20%
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายของ OKJ เปิดเผยว่า จากข้อมูลปัจจุบันยอดการจองหุ้นของนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาเต็มจำนวนตามที่เสนอขายเรียบร้อยทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการสรุปข้อมูลอย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่า มีรายชื่อนักลงทุนดังรายใดเข้ามาร่วมจองหุ้นด้วยหรือไม่ ทว่า มั่นใจว่าเมื่อซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 4 ต.ค. 2567 หุ้นจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากด้วยพื้นฐานธุรกิจแข็งแรง มีโอกาสเติบโตจากการขยายสาขา อีกทั้งภาวะตลาดหุ้นไทยในภาพรวมกลับมาดีขึ้นแล้ว
“ไม่มีประเด็นอะไรที่ต้องตื่นเต้นเลย ยอดจองจากรายย่อยเต็มไปแล้วตามที่คาดเพราะพื้นฐานธุรกิจนี้ดีมาก ตอน Book Building สถาบันก็จองเข้ามาเกินถึง 11 เท่า จึงมั่นใจว่าวันเทรดนักลงทุนจะยังให้การสนับสนุนต่อไป และหุ้นตัวนี้จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีได้”