ตลาดหุ้นจีน 'วิ่งต่อ' หรือ 'หยุดแค่ข่าวดี'?
นับจาก "จีน" เผชิญแรงกดดัน “เศรษฐกิจซบเซา” จากวิกฤติโควิด -19 และรัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี และอสังหาริมทรัพย์ นับตั้งแต่ปี 2564-ปี 2565 ถือเป็นจุดเริ่มต้น ทุบ “ตลาดหุ้นจีน” โดย ดัชนี CSI 300 และ Hang Seng ปรับตัวลงมากกว่า 30%
KEY
POINTS
-
เปิด ‘มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชุดใหญ่’ หลัง ซบเซามานาน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน หุ้นจีนรีบาวด์แรงระยะสั้น
-
ในสัปดาห์เดียว ตลาดหุ้นจีนเด้งแรงทะลุ 10% นำโดย "ดัชนี ShenZhen" (เซินเจิ้น) ปรับตัวขึ้นกว่า 17% โดนเด่นที่สุด
-
นักวิเคราะห์การลงทุนเห็นตรงกันว่า "หุ้นจีนเด้งขึ้นระยะสั้น" แค่รับข่าวดีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แนะเก็งกำไรระยะสั้น หรือ ลงทุนระยะยาว 3 ปีขึ้นไป ในหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง และเติบโตดีในระยะยาว
-
โจทย์หลักตลาดหุ้นจีน จะมีโอกาส “วิ่งต่อได้ระยะยาว” หรือไม่นั้น ขึ้นกับ “เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง" ยังต้องติดตามข่าว และระมัดระวังความเสี่ยง
ต่อเนื่องช่วงต้นปี 2566 หลังวิกฤติโควิด-19 การเปิดเมืองของจีน (China Reopen) หนุน “เศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมา” โดยรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง พร้อมประกาศเป้าหมาย GDP ปี 2566 ที่โตกว่า 5% หนุนให้ตลาดหุ้นจีนเริ่มมีการฟื้นตัว แต่ยังคงมีความผันผวนสูงต่อเนื่อง
กระทั่งเดือนเม.ย.- พ.ค.2567 “เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างชัดเจน” ภายหลังจากรัฐบาลจีน “ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่” รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายควบคุม และการสนับสนุนทางการเงินให้กับธุรกิจต่างๆ ตลาดหุ้นจีนกลับมาคึกคัก สะท้อนผ่าน ดัชนี HSCEI Index เป็นตัวแทนของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงราว 11%
และการฟื้นตัวล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลจีน "อัดฉีดมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่" ทำให้ “ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้น” ทะลุ 10% ในสัปดาห์เดียว
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชุดใหญ่ ดังนี้
23 ก.ย.2567 :
- ธนาคารกลางจีน (PBOC) ลดอัตราดอกเบี้ย Reverse repo 14 วัน ลง 0.1% สู่ระดับ 1.85%
- อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงินการธนาคารอีก 3.5 แสนล้านบาท
24 ก.ย.2456 :
- ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดตัวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ สู่เป้าหมาย GDP เติบโต 5%
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น reverse repo 7 วัน ลง 0.2% จาก 1.7% เหลือ 1.5%
- ปรับลดอัตราส่วนกันเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% เพิ่มสภาพคล่องเข้าระบบ 1 ล้านล้านหยวน
- ปรับลดอัตราเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับอสังหาฯ มือสองมาที่ 15% จาก 25% และลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่พักอาศัยลง 0.5%
- อนุญาตให้กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัยเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ สามารถใช้ทรัพย์สินค้ำประกันเพื่อแลกเปลี่ยนสภาพคล่องจาก PBOC ในการซื้อหุ้นได้ / จัดตั้งแหล่งเงินทุนเฉพาะสำหรับ บจ.และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ให้ซื้อหุ้นคืนหรือเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นได้
- อาจปรับลด RRR เพิ่มเติมในปีนี้อีกราว 0.25-0.50%
25 ก.ย.2567 :
- ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ลง 0.3% มาที่ระดับ 2.00%
26 ก.ย.2567 :
- รัฐบาลจีนประกาศเตรียมแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง ราว 4.74 ล้านคนทั่วประเทศ ก่อนถึงช่วงหยุดยาววันชาติใน วันที่ 1 - 7 ต.ค.2567 ภายใต้งบประมาณ 1.547 ล้านหยวน ในปีนี้ที่เพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
27 ก.ย.2567
- ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลด RRR, LPR อย่างเป็นทางการตามแผน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ มีเป้าหมายเพื่อ “ฟื้นฟูเศรษฐกิจจีน” และ “สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” ซึ่งส่งผลให้ในเวลาแค่สัปดาห์เดียว " 3 ตลาดหุ้นจีน" ดีดตัวขึ้นแรงทะลุ10% นับตั้งแต่ 23 ก.ย.67 ที่ผ่านมานี้จนถึงปัจจุบัน ดังนี้
- ดัชนี Hang Seng (ฮ่องกง) ปรับตัวขึ้นกว่า 12%
- ดัชนี Shanghai (เซียงไฮ้) ปรับตัวขึ้นกว่า 11%
- ดัชนี ShenZhen (เซินเจิ้น) ปรับตัวขึ้นกว่า 17%
นักวิเคราะห์ ประสานเสียง ‘หุ้นจีนรีบาวด์รับข่าวดีแค่ระยะสั้น’
สำหรับตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นเด่นในขณะนี้ นักวิเคราะห์การลงทุนบางส่วน มองว่า อาจเป็นเพียงแค่ “การรีบาวด์รับข่าวดีในระยะสั้น” จากปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจจีนยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ และการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ดังนั้น "การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในระยะยาว" ยังคงต้องติดตามมาตรการเพิ่มเติมจากรัฐบาลจีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมนั่นเอง หลังจากนี้ โจทย์หลักของตลาดหุ้นจีน จะมีโอกาส “วิ่งต่อได้ระยะยาว” หรือไม่นั้น ขึ้นกับ “เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง”
“พิชัย ยอดพฤติการ” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นจีนเด้งขึ้นระยะสั้น รับข่าวดีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังต้องติดตามดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ อย่าง PMI ภาคการผลิตที่ชะลอตัวต่อเนื่องต่ำกว่า 50, ดัชนีราคาบ้านที่ยังติดลบอยู่ว่าจะกลับมาบวกได้หรือไม่, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง รวมถึงการขึ้นกำแพงภาษีจากสหรัฐ หลังการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.67 นี้
สำหรับการ ลงทุนหุ้นจีน ที่น่าสนใจ สำหรับการ “เก็งกำไรระยะสั้น” มองเป็นกองทุน K-CHINA ที่ลงทุนหุ้นทั้งตลาด H-Shares และ A-Shares โดยมี หุ้นจีนเด่นในพอร์ตได้ผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่จะนำมาใช้ซื้อสินค้า และท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชันและระบบการชำระเงินมากขึ้น ได้แก่
• Tencent บริษัทด้านไอที (JD.com, Wechat)
• Alibaba บริษัทด้านอีคอมเมิร์ซ (Taobao, Alipay)
• Meituan แอปดิลิเวอรี จองโรงแรม
• Pinduadua อีคอมเมิร์ซ (Temu)
• China merchants bank ธนาคารจีน
• Trip.com บริษัทท่องเที่ยว
"บดินทร์ พุทธอินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนรวมถึงเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น (ประมาณช่วงไตรมาส 4)
ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในระยะยาว ยังคงต้องดูตัวเลขทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปว่าได้รับผลกระทบเชิงบวกหรือมีการขยายตัวจากมาตรการดังกล่าวหรือไม่
เราประเมินว่า อาจจะเร็วไปถ้าจะบอกว่าหลังจากนี้จะเป็นรอบขาขึ้นของตลาดหุ้นจีนหรือเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอย่างชัดเจน
หากเราย้อนกลับไปดูในช่วงที่ผ่านมาทางการจีนเคยมีการกระตุ้นมาตรการทางเศรษฐกิจก่อนหน้านี้แล้วดังเช่นในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ที่มีการออกมาตรการเรื่องของกองทุนพยุงหุ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงเดือนก.พ.จนถึงเดือพ.ค.ก่อนที่จะปรับตัวลดลงหลังจากนั้น
เราคาดว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจจากมาตรการดังกล่าวแต่ในระยะยาวยังคงต้องติดตามต่อไป
ทางด้าน “ผู้จัดการกองทุนในประเทศไทย” แนะนำว่า นักลงทุนยังจำเป็นควรระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะว่า หุ้นจีนรีบาวด์รอบนี้ ก็อาจเป็นเพียงการตอบสนองต่อข่าวดีในระยะสั้นได้
ดังนั้น หากนักลงทุนมีความสนใจที่จะ “ปรับพอร์ตเพิ่มสัดส่วนหุ้นจีน” ในรอบนี้ ยังต้องพิจารณาหุ้นจีนที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีระยะยาวจากการขยายตัวของชนชั้นกลาง และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ประกอบกับ มูลค่าหุ้นจีนน่าสนใจ หลายตัวมีมูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ทำให้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อในราคาที่น่าในใจ เช่น
1. หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี: เนื่องจากรัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
2. หุ้นในกลุ่มสุขภาพ: เนื่องจากการเติบโตของประชากรสูงอายุ และความต้องการบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
3. หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาด: เนื่องจากรัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แนะนำว่า การลงทุนในหุ้นจีน ควรจะ “มีมุมมองในระยะยาว 3 ปีขึ้นไป” เพื่อให้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และ "กระจายความเสี่ยง” ในการลงทุนหลายๆ อุตสาหกรรม และหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นจีนรีบาวด์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลจากข่าวดีเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน แต้นักลงทุนควรระมัดระวัง และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด มีข้อควรระวัง ทั้งความผันผวนสูง และความเสี่ยงในการขาดทุนระยะสั้น ได้ และปัจจัยภายนอกที่ความไม่แน่นอนทางการเมือง และเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นจีนได้
นอกจากนี้ หากพอร์ตใครเขียวหลังจากที่รอมานาน จะตัดสินใจขายทำกำไรในหุ้นจีน ควรวางแผนการลงทุนใหม่ เพื่อให้เงินที่ได้จากการขาย สามารถสร้างผลตอบแทนต่อไปได้ด้วย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์