สถาบันดันหุ้นไทยท้ายปี จับตา พ.ย. MSCI กลับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย

สถาบันดันหุ้นไทยท้ายปี จับตา พ.ย. MSCI กลับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย

อานิสงค์กองทุน-สถาบันแรงหนุนหุ้นไทยท้ายปี ผ่าน “วายุภักษ์ - กองทุนThaiESG” ผู้จัดการตลท. คาดวอลลุ่มปี 67 กลับมา แตะ 5-6 หมื่นล้าน เตรียมแผนเพิ่มสัดส่วนสถาบันผ่านรูปแบบกองทุนใหม่ ด้านต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสูงสุดรอบ22 เดือนรั้งเติบโตสูงสุดอันดับ3ในตลาดเอเชีย

            นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึง บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยช่วง 3 เดือนสุดท้าย ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากเเม็ดเงินลงทุนในประเทศและต่างประเทศเข้ามามีผลต่อดัชนีและมูลค่าการซื้อขาย โดยเฉพาะเม็ดเงินสถาบันในประเทศทั้งกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่ยังทยอยลงทุน และกองทุนเพื่อลดหย่อยภาษี  ThaiESG ลงทุนช่วงปลายปี  ซึ่งกลไกดังกล่าวทำให้สัดส่วน    ผู้ลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น 9% จาก 8% และอดีตที่  10 % จึงมีแนวทางเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันมากขึ้นจากการหารือกับสมาคมบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อเพิ่มกองทุน ThaiESG รูปแบบใหม่

          “ปัจจัยที่มีผลกระทบรุนแรงในช่วงนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งแรงหนุนหุ้นไทยมาจากสถาบันในประเทศที่ยังทยอยลงทุนและคาดว่ามีโอกาสที่วอลลุ่มการซื้อขายสิ้นปี  67 จะกลับมาเฉลี่ยใกล้เคียงอดีตที่ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ” 

       สถาบันดันหุ้นไทยท้ายปี จับตา พ.ย. MSCI กลับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย

      นายศรพล ตุลยเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงสร้างกลยุทธ์ ตลท. กล่าวว่า  ปัจจัยมีผลต่อการลงทุนและหนุนตลาดหุ้นไทยอยู่ที่การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งกลุ่มธนาคารจะรายงานกลุ่มแรกช่วงกลางเดือนต.ค. ซึ่งภาพรวมทั้งปียังคาดการณ์ว่าเติบโตมากกว่าจีดีพี 1.5-2% ภายใต้ GDP ที่ 2.6-2.%  แต่ทั้งนี้ยังต้องจับตาผลกระทบจากค่าเงิน ราคาน้ำมัน และน้ำท่วมภาคใต้หากสามารถฟื้นฟูได้ทันช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุน 

    ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามคือผลการเลือกตั้งสหรัฐ  ปัญหาในตะวันออกกลางมีผลต่อราคาน้ำมันโดยตรง ซึ่งจะมีผลในบางกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่มีผลต่อเม็ดเงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงค์โดยมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนช่วงส.ค ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เดือนก.ย.ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในรอบ 22 เดือนที่ 28,904 ล้านบาท แต่ยังขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 9.1 หมื่นล้านบาท  

       “ตลาดหุ้นไทยจุดเปลี่ยนช่วงที่ผ่านมาทำให้มีแรงหนุนจนจนเดือน ก.ย. เป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดอันดับ3 ในตลาดเอเชียรองจากตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นจีน ซึ่งเชื่อว่าดัชนีขนาดใหญ่มีการปรับการลงทุน อย่างดัชนี MSCI กลับมาเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยเดือนพ.ย. จากเดิมลดหนักหนักหุ้นไทยจากตลาดหุ้นอินเดีย-จีน และหุ้นไทยปรับตัวลงกระทบราคาหุ้นมีสภาพคล่องน้อยลง”

      สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนก.ย.2567 SET Index ปิดที่ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น รับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

        สถาบันดันหุ้นไทยท้ายปี จับตา พ.ย. MSCI กลับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย

       มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท 

        โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) มีForward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า