ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

กรุงเทพธุรกิจชวนพูดคุยกับ "ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น" อธิการบดี "สถาบันวิทยสิริเมธี" หรือ VISTEC ถึงสาเหตุทำไมตลาดหุ้นไทยไร้บริษัทเทคโนโลยีและเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดหุ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ในขณะที่ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของประเทศไทยดูเหมือนจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่หลายคนมองว่าเป็นปัจจัยหลัก คือการที่ประเทศไทยมีสัดส่วนของบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหุ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กและธนาคารเกียรตินาคินภัทร จะเห็นว่าไต้หวัน เกาหลีไต้ และสหรัฐอเมริกาเป็นสามประเทศที่มีสัดส่วนบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหุ้นมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในขณะที่ประเทศไทยสัดส่วนอยู่ที่เพียง 3% เพราะบริษัทในตลาดหุ้นส่วนมากล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิม

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

หากเราลองมองไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เราจะเห็นว่ามีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งที่มีมูลค่าตลาดมหาศาล เช่น Apple, Microsoft, Google, และ Amazon ซึ่งบริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ในทำนองเดียวกัน ตลาดหุ้นของไต้หวันก็มีบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ส่วนในเกาหลีใต้ มีบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung และ SK Hynix ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสำคัญในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและหน่วยความจำ

แต่เมื่อเรามองมาที่ตลาดหุ้นไทย เราจะพบว่ามีสัดส่วนของบริษัทเทคโนโลยีน้อยมากคือ 3% อย่างที่กล่าวมาแล้ว ส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยจะเป็นบริษัทในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก ซึ่งแม้จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็มักจะมีอัตราการเติบโตที่ช้ากว่าเมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยี

โดยหากเทียบหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของไทยกับสหรัฐอเมริกาจะเห็นว่าส่วนใหญ่ยังเป็นบริษัทในกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และบริการ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ บริษัทที่มาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับต้นๆ คือบริษัทเทคฯ ทั้งสิ้น เช่น Apple Amazon Mocrosoft Google และ Meta

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

 

การที่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของบริษัทเทคโนโลยีน้อยได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีมักจะมีอัตราการเติบโตสูงและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียังมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและปรับตัวได้เร็วกว่า ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า

แล้วอะไรเป็นสาเหตุให้ประเทศไทยมีบริษัทเทคโนโลยีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ คำตอบนี้มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ประการแรก คือการขาดการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ โดยตามค่าเฉลี่ย R&D ของประเทศไทยช่วงปี 2015-2018 อยู่รั้งท้ายเพียง 0.8% ของจีดีพี ประการที่สอง คือระบบการศึกษาของไทยที่ยังไม่สามารถผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้ขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญในด้านนี้

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐของไทยในอดีตที่ผ่านมายังไม่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ การขาดแคลนเงินทุนและการสนับสนุนสำหรับ สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีไอเดียดีๆ ไม่สามารถพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและแข่งขันในระดับโลกได้

แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร? หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจของประเทศไทยคือโมเดลของสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ในการปลุกปั้นบุคลากรทางด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ ภายใต้ 4 สำนักวิชาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curv) ได้แก่

  1. สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล (School of Molecular Science and Engineering : MSE)
  2. สำนักวิชาวิทยาการพลังงาน (School of Energy Science and Engineering : ESE)
  3. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ชีวโมเลกุล (School of Biomolecular Science and Engineering : BSE)
  4. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (School of Information Science and Technology : IST)

ผ่านการให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาที่สนใจด้านเทคโนโลยี ให้การเรียนการสอนโดยนำงานวิจัยเป็นตัวตั้ง (Research-based Education) และพัฒนาไปเป็นเทคโนโลยีที่แก้เพนพ้อยต์ให้คนในสังคมและสุดท้ายก็ปลุกปั้นเทคโนโลยีนั้นภายใต้บริษัทโฮลดิ้งอย่างวิสอัพ (VISUP)

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

ศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น อธิการบดีของ VISTEC กล่าวว่า แม้ VISTEC จะมีขนาดเล็ก แต่กลับเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ด้วยการมุ่งเน้นเฉพาะ 4 สำนักวิชาหลักหลัก ได้แก่ วัสดุศาสตร์ พลังงานศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ทีมวิจัยสามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพสูง แม้จะมีบุคลากรไม่มากนัก

ศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ใจเสริมว่า สถาบันแห่งนี้มีความโดดเด่นด้านความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในการพัฒนาโจทย์วิจัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มุ่งสร้างผลกระทบต่อสังคม โมเดลการทำงานนี้ช่วยสร้างการเรียนรู้ให้แก่นิสิต นักศึกษา และนักวิจัย นำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ

อีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญประการแรก คือ การเพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยอาจมีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนด้าน R&D ต่อจีดีพีให้ใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกจากนี้ การปฏิรูประบบการศึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเน้นการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงอุดมศึกษาเหมือนที่ VISTEC กำลังทำ

ในส่วนของภาครัฐ การสร้างนโยบายและมาตรการจูงใจให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ โดยอาจมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ การสนับสนุนสตาร์ทอัพ ด้านเทคโนโลยีผ่านกองทุนร่วมลงทุนและมาตรการทางภาษีก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยี

ทำไม ‘ตลาดหุ้นไทย’ ไร้บริษัทเทคฯ ? คุยกับอธิการบดี VISTEC ศ. ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น

“VISTEC เปิดสอนทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานซึ่งดำเนินงานภายใต้หลักการบริหารแบบ Three Pillars Models ประกอบด้วย Academic Program, Innovation Hub และ Start-up Incubator โดยมีบริษัท วิสอัพ จำกัด เป็นหน่วยงานสำคัญในการผลักดันให้งานวิจัยพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีต้นแบบและสตาร์ทอัพ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริงในตลาด ซึ่งอาจเป็นโมเดลให้ภาครัฐและเอกชนต่อไปได้ในการสร้างอีโคซิสเต็มของบริษัทเทคฯ ให้ประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยในอนาคต” ดร. พิมพ์ใจกล่าว